เหล่าขุนนางที่อยู่ในที่นั้นต่างพากันก้มหน้าลง แต่หางตาก็ยังคงเหลือบมองฮ่องเต้เฉียนอยู่ตลอดเวลา
เซียวซูเฟยนั่งอยู่ข้างกายฮ่องเต้เฉียน มองดูสีพระพักตร์ของฮ่องเต้เฉียนที่เปลี่ยนจากเขียวเป็นแดงสลับกันไป ในใจก็รู้สึกซับซ้อน
การกระทำของฉินหมิง นางไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือว่าโกรธดี
ตามหลักแล้วนี่เป็นเรื่องที่ดี
สามารถทำให้สถานะของฉินหมิงในพระทัยของฮ่องเต้เฉียนตกต่ำลงไปอีก
แต่เหตุใด ตนเองกลับรู้สึกโกรธอย่างยิ่ง
ท่าทางของฉินหมิงดูเหมือนจะไม่ใส่ใจตำแหน่งองค์รัชทายาทนี้จริง ๆ
เพียงแค่มาที่นี่ เพื่อที่จะอ่านบทกวีนี้ให้ฮ่องเต้เฉียนฟัง...
ในที่สุด ฮ่องเต้เฉียนผู้มีสีพระพักตร์มืดมนก็ทรงเอ่ยปากขึ้น
“เอาแต่อยู่ในเรือนทั้งวัน ก็คงจะศึกษาแต่บทกวีน้ำเน่าพวกนี้กระมัง?”
“คนที่ไร้ความสามารถเช่นเจ้า ไม่ได้เป็นองค์รัชทายาท ก็ถือเป็นโชคดีของราชวงศ์นี้แล้ว!”
วาจาของฮ่องเต้เฉียนนั้นรุนแรงมาก
บทกวีของฉินหมิง ทำให้พระองค์ทรงนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่ไม่อยากจะเอ่ยถึง
สตรีผู้นั้น เขาลืมไปนานแล้ว
ในราชสำนักก็ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถึง
ยกเว้นฉินหมิง
แคร่ก!
พร้อมกับเสียงหนึ่งที่ดังขึ้น
แผ่นป้ายที่แขวนอยู่บนซุ้มประตูหน้าตำหนัก ซึ่งเขียนว่าต้อนรับกองคาราวานสินค้าหนานหยาง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของเหล่าขันทีหรือไม่ แขวนไว้ไม่ดี จนร่วงหล่นลงมาบนพื้น
แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ !
สีหน้าของทุกคนพลันดูย่ำแย่ลงในทันที!
ในใจของซุนเหลียนอิงหนักอึ้ง รีบเดินเข้าไปนำคนมาเก็บกวาด
วาจาที่ฮ่องเต้เฉียนทรงเตรียมจะตำหนิฉินหมิง ก็ติดอยู่ในลำคอ
พระองค์ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นมองท้องฟ้า ดวงพระเนตรสั่นไหว
หรือนี่จะเป็นลางบอกเหตุบางอย่างที่สวรรค์ส่งมาให้พระองค์?
หลังจากผ่านไปนาน ฮ่องเต้เฉียนก็ทรงกัดฟันแล้วตรัสถามคนของกรมพิธีการว่า
“ผู้ใดเป็นผู้รับผิดชอบงานเลี้ยงครั้งนี้”
“ฝ่าบาท กระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวดังออกมาจากฝูงชน
เมื่อทอดพระเนตรเห็นคนที่พูด ฮ่องเต้เฉียนและเซียวซูเฟยต่างร่างกายแข็งทื่อ
เซียวผิงซานขุนนางผู้ช่วยกรมพิธีการ น้องชายแท้ ๆ ของเซียวซูเฟย!
หากว่ากันตามฐานะแล้ว เซียวผิงซานก็นับเป็นน้องเขยของฮ่องเต้เฉียน
“เหตุใดจึงเป็นเจ้ารับผิดชอบเรื่องนี้?”
“เดิมทีเป็นฉินอ๋องที่รับผิดชอบงานเลี้ยงพ่ะย่ะค่ะ ปีนี้ไม่มีใคร กระหม่อมก็เลยรับผิดชอบเองพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวผิงซานกลืนน้ำลาย เอ่ยปากอย่างลังเล
อันที่จริงงานเลี้ยงในวันนี้ เขาทุจริตไปไม่น้อย
แม้กระทั่งหมุดที่ใช้แขวนแผ่นป้าย เขาก็ยังเปลี่ยนเป็นของที่ห่วยที่สุด
มิใช่ว่าขันทีน้อยแขวนไม่ดี แต่เป็นเพราะของสิ่งนี้ โดยเนื้อแท้แล้วก็เป็นของชำรุด ทนอยู่ได้ไม่นาน
เดิมทีคิดว่าเป็นเพียงแค่งานเลี้ยง คงไม่มีใครสังเกตเห็น
แต่กลับมาเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในตอนที่ฮ่องเต้เฉียนทรงพระพิโรธที่สุด
เฉินซื่อเม่าที่นั่งอยู่เบื้องล่างส่ายหน้าเล็กน้อย
เฉียนไฉเบ้ปากแล้วกล่าวกับคนข้าง ๆ ว่า
“หากองค์ชายยังอยู่ในราชสำนัก ไหนเลยจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”
“ทำการค้าขายมาก็หลายปีแล้ว พอองค์ชายจากไป แม้แต่งานเลี้ยงพื้นฐานที่สุดก็ยังจัดให้ดีไม่ได้”
“ไม่รู้ว่านี่เป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จทางการค้าขายแบบไหนกันแน่ คิดจะทำให้กองคาราวานสินค้าหนานหยางรังเกียจจนหนีไปหมดหรือไร?”
น้ำเสียงของเขาไม่ดังและไม่เบา
ส่งไปไม่ถึงพระกรรณของฮ่องเต้เฉียน แต่กลับสามารถส่งไปถึงหูของเหล่าขุนนางได้
ทันใดนั้น ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อย
“ข้าได้ยินมาว่าการค้าขายครั้งนี้ ก็เป็นจ้าวสี่ที่ทำเรื่องราวให้มันใหญ่โตขึ้น องค์ชายต้องไปตามเช็ดก้นให้เขา”
“สองวันก่อนฝ่าบาทยังทรงหลงเชื่อจ้าวสี่ผิด ๆ สั่งยุบสามหน่วยพิทักษ์ขององค์ชายมิใช่หรือ?”
“นั่นมันเรื่องเมื่อสองสามวันก่อนแล้ว ภายหลังก็คืนให้แล้วยังมอบค่ายทหารอู่เวยให้อีก ไปขอร้องให้องค์ชายช่วยทำให้กองคาราวานสินค้าหนานหยางสงบลง”
“สุดท้ายก็ยังต้องให้องค์ชายยื่นมือเข้าช่วยมิใช่หรือ จะวุ่นวายไปมาทำไมกัน...”
แม้ว่าเสียงของเฉียนไฉจะส่งไปไม่ถึงพระกรรณของฮ่องเต้เฉียน
แต่การวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าขุนนาง กลับทำให้ฮ่องเต้เฉียนทรงได้ยินอย่างชัดเจน
พระองค์เพิ่งจะตรัสไปว่า ฉินหมิงไม่เหมาะกับตำแหน่งองค์รัชทายาทของราชวงศ์นี้
ก็เกิดเรื่องแผ่นป้ายร่วงหล่นขึ้นมาทันที เมื่อเปรียบเทียบกับงานเลี้ยงในปีก่อน ๆ แล้ว ก็เหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่
สิ่งนี้ทำให้แม้แต่ฉินหมิงก็ยากที่จะเล่นงานนางได้
แต่ก็ไม่เป็นไร ฉวยโอกาสนี้ เล่นงานทายาทชายคนเดียวของตระกูลเซียวของนางก็ได้
ฉินหมิงจำได้ว่า เมื่อหลายปีก่อนเซียวผิงซานผู้นี้ อาศัยที่พี่หญิงของตนเองเป็นที่โปรดปราน ก็เคยขัดขาตนเองมาไม่น้อย!
“ฝ่าบาท ฉินอ๋องเอาเรื่องเล็กมาทำให้เป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ ช่างไร้มารยาทนักเพคะ”
เซียวซูเฟยเห็นสถานการณ์ไม่ดี รีบขอความช่วยเหลือจากฮ่องเต้เฉียน
ฮ่องเต้เฉียนทรงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ทอดพระเนตรฉินหมิงอย่างรังเกียจแวบหนึ่ง
“เอาละ เรื่องนี้ให้ดำเนินการไปตามนี้ก่อน”
เฉินซื่อเม่าและคนอื่น ๆ ต่างพากันขมวดคิ้ว
ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ ยังจะลำเอียงเข้าข้างเซียวซูเฟยถึงเพียงนี้
เกรงว่าหลังจากนี้ไป คงจะมีขุนนางนับไม่ถ้วนด่าทอลับหลังเซียวซูเฟยอย่างสาดเสียเทเสียเป็นแน่
แต่เรื่องราวดำเนินมาถึงตรงนี้ อันที่จริงก็ใกล้จะจบแล้ว
ในตอนที่เซียวผิงซานจ้องมองฉินหมิงอย่างเคียดแค้นแวบหนึ่ง เตรียมจะจากไป
ฉินหมิงกลับขวางเขาไว้ทันที
“เสด็จพ่อ เซียวกุ้ยเฟยไม่เข้าใจกฎหมายของราชวงศ์เรา ท่านคงจะไม่ทรงลืมใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ต้าเฉียนของเราเป็นแคว้นแห่งจารีตประเพณี ผู้ใดทำลายพิธีการ ก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรง จะต้องถูกโบยสามสิบที!”
“เห็นแก่ที่เซียวผิงซานเป็นผู้กระทำผิดครั้งแรก กจะละเว้นให้เขาสักหน่อย โบยยี่สิบเก้าที เป็นอย่างไร?”
ขุนนางเบื้องล่างเมื่อได้ยินดังนั้น ต่างก็มุมปากกระตุก
ไม่อยากจะละเว้นก็ไม่ต้องละเว้น
เพียงแค่ละเว้นให้หนึ่งที นี่มิใช่ว่าจงใจจะกวนประสาทอีกฝ่ายหรอกหรือ?
“ท่านอย่าได้ทำเกินไปนัก!”
เซียวซูเฟยร้อนใจขึ้นมา
การลงโทษโบยของพวกเขานั้น โหดเหี้ยมเป็นพิเศษ
โบยไม่กี่ทีก็สามารถทำให้คนลุกจากเตียงไม่ได้ไปครึ่งเดือน
โบยสามสิบที สามารถทำให้คนพิการได้โดยตรง!
ตอนนี้ฮ่องเต้เฉียนก็ถูกมัดมือชกเช่นกัน
พระองค์เพิ่งจะทรงตระหนักได้ในตอนนี้เองว่า บุตรชายที่พระองค์ไม่เคยให้ความสำคัญมาโดยตลอด
กลับรู้กฎหมายของราชสำนักอย่างทะลุปรุโปร่ง
เมื่อกฎหมายของบรรพชนวางอยู่ตรงนี้ พระองค์จะช่วยเซียวผิงซานได้อย่างไร?

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว