“ข้าขอเชิญพวกท่านไปทานอาหาร” เจิ้งซูอวี้เอ่ยขึ้น “วันนี้ขอบคุณพวกท่านจริง ๆ”
“ดีจริงเชียว” มู่ซืออวี่รับคำ “พวกข้าทำงานล่วงเวลาให้ท่านเป็นพิเศษ ท่านจะต้องตอบแทนพวกเราให้ดีเสียแล้ว”
ตอนนี้ร้านอาหารขนาดใหญ่สองร้านปิดลงพร้อมกัน เจิ้งซูอวี้ไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้เพียงเชิญพวกเขาไปทานที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ร้านอื่นแทน
เมื่อทานข้าวเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจิ้งซูอวี้ก็อยู่ไม่นานนัก หลังจากไหว้วานพวกเขาซ้ำไปซ้ำมาก็กลับจวนไปก่อน
บรรดาลูกจ้างล้วนไม่อยากเป็นก้างขวางคอพวกลู่อี้ พวกเขาจึงรีบแจ้นจากไปก่อน
“นึกไม่ถึงว่าตลาดยามค่ำคืนในเมืองจะครึกครื้นเช่นนี้” มู่ซืออวี่มองดูท้องถนนที่คึกคักแล้วเอ่ยขึ้นมา “เทียบกับบรรยากาศเคร่งเครียดตอนกลางวันแล้ว ผู้คนตอนกลางคืนดูเหมือนจะผ่อนคลายกว่ามาก แถมรอยยิ้มก็กว้างกว่าเดิมด้วย”
“กลางวันวิ่งดิ้นรนหาเลี้ยงชีวิต กลางคืนหลังจากยุ่งมาทั้งวันย่อมต้องอยากผ่อนคลาย บ้างก็ออกมาเดินเล่นกับครอบครัว บางทีอาจจะแค่มาชมดู ไม่ได้ซื้อสิ่งใด เท่านี้ก็ผ่อนคลายแล้ว”
ลู่อี้ขยับไปขวางด้านข้าง ป้องกันไม่ให้ชายชราที่กำลังเข็นเกวียนผ่านมาชนมู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่หันหน้าไปมอง ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ามองชายร่างสูงตรงหน้า
ทั้งสองคนจ้องมองกันและกันอยู่ตรงทางเดิน
ชั่วขณะนั้นราวกับทุกสิ่งรอบกายหยุดนิ่ง ในสายตามีเพียงกันและกันเท่านั้น
พลั่ก!
เด็กซุกซนคนหนึ่งวิ่งมาชนพวกเขา มู่ซืออวี่จึงล้มลงในอ้อมแขนของลู่อี้ เขากอดนางเอาไว้อย่างแน่นหนา
“ข้าขอโทษ เขาขาดการอบรม รบกวนทั้งสองท่านแล้ว” หญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาขอโทษขอโพยอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไร” ลู่อี้กอดมู่ซืออวี่ไว้ในอ้อมแขนพลางเอ่ยเสียงเรียบ “แต่โปรดระมัดระวัง อย่าได้ไปชนผู้อื่นอีกล่ะ”
หญิงสาวคนนั้นรีบดึงเด็กมาขอโทษก่อนจะเดินจากไป
มู่ซืออวี่พบว่าลู่อี้ยังไม่ปล่อยจึงขยับตัว เพื่อเป็นการบอกให้เขาปล่อยนางได้แล้ว
“คนเยอะเกินไป จะได้ไม่พลัดหลงกัน” ลู่อี้ดึงมือนางมากุมไว้ไม่ยอมปล่อย
มู่ซืออวี่ขยุกขยิกสองสามครั้ง แต่ไม่กล้าสลัดออก ทำได้แต่จ้องทิ้งท้ายตาเขม็ง
มือของเขาทั้งใหญ่ทั้งอุ่น มือเล็ก ๆ ของนางถูกเขากอบกุมเอาไว้มิด มู่ซืออวี่คิดแล้วใบหน้าก็เห่อร้อนขึ้นมา
“สหายลู่อี้ ไม่พบกันนานเลยนะ!”
ชายหนุ่มสองคนในชุดบัณฑิตเดินมาจากฝั่งตรงข้าม
สีหน้าของลู่อี้สียังคงเรียบเฉยดังเดิม “อืม ไม่พบกันนาน”
“สหายจากสำนักบัณฑิตของพวกเรารวมตัวอยู่ข้างบน ไปด้วยกันเป็นอย่างไร?” ถังหมิงฉงหัวเราะร่วน
“ข้าไม่ว่าง” ลู่อี้กล่าว จากนั้นดึงมู่ซืออวี่และกำลังจะจากไป
“เดี๋ยวสิ!” เฉียนจงอวิ๋นขวางเขาเอาไว้ “เจ้าเป็นเช่นนี้เราก็ยิ่งปวดใจ ถึงแม้เจ้าจะออกจากสำนักบัณฑิตแล้ว แต่พวกเราก็ยังเป็นสหายร่วมเรียนกัน เหตุใดเจ้าจึงเบือนหน้าหนี ทำเป็นไม่รู้จักคนแล้วเล่า?”
“นั่นน่ะสิ” ถังหมิงฉงเห็นด้วย
มู่ซืออวี่หมดความอดทน “พวกเจ้าต้องการอะไรกันแน่?”
“กล่าวตามตรง พวกเราพบปัญหาข้อหนึ่ง ในเมื่อลู่อี้เป็นศิษย์รักของเจ้าสำนัก เขาจะต้องช่วยพวกเราแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างแน่นอน ตามพวกข้ามาเถอะ พวกเรามาแลกเปลี่ยนความรู้กันดีกว่า”
ลู่อี้เงยหน้ามองโรงน้ำชา ที่นั่นมีสหายร่วมเรียนของเขาจำนวนหนึ่ง
คำท้ารบนี้แม้ไม่อยากรับก็ต้องรับ หากเดินจากไป ผู้อื่นก็จะคิดว่าเขากลัว เขาไม่สนเรื่องหน้าตาอะไรนั่น แต่ไม่อาจทำให้ชื่อเสียงของอาจารย์ต้องเสื่อมเสียได้
เขามองมู่ซืออวี่แล้วเอ่ยว่า “เจ้าไปรอข้าข้างหน้า”
“ข้าจะไปกับเจ้า” มู่ซืออวี่ยิ้มบางเบา “ข้าสงสัยว่าบัณฑิตเหล่านี้อยากจะแลกเปลี่ยนความรู้อะไรกับเจ้า”
คนราว ๆ สิบกว่าคนที่อยู่ข้างบนเห็นว่าไม่เพียงแต่ลู่อี้ที่ขึ้นมา ยังพาฮูหยินบ้านนอกผู้นั้นขึ้นมาด้วย จึงรู้สึกประหลาดใจอย่างช่วยไม่ได้
“ลู่อี้ขึ้นมาแล้ว”
“อืม” ฟางโจวอวี่มองร่างของลู่อี้ที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
ถึงแม้พวกบัณทิตจะไม่ชอบลู่อี้ แต่ก็ยังคงทักทายเขา
ลู่อี้จึงทักทายกลับ
ฟางโจวอวี่เอ่ยขึ้นเรียบ ๆ “ไม่ง่ายนักที่จะได้พบกับลู่อี้ในวันธรรมดาเช่นนี้ วันนี้นับว่าเป็นโชคชะตาลิขิต เราถึงได้มาพบกันที่นี่”
“ในวันธรรมดา ลู่อี้ต้องหาเลี้ยงครอบครัวนี่นา พวกเราจะเห็นได้อย่างไร” บัณฑิตข้างกายคนหนึ่งหัวเราะขึ้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย
กำลังสนุกเลยค่ะ ขอบคุณแอดที่ลงให้อ่านนะคะ แต่ถ้าลงวันละ 10 ตอนจะดีมากเลยค่ะ รออ่านอยู่นะคะ...
รออ่านบทต่อไปค่ะ...