ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย นิยาย บท 147

มู่ซืออวี่เข้าใจทันที “ใช่แล้ว”

หลี่หงซูและเจิ้งซูอวี้จึงสาธยายว่า ‘คันฉ่องสองด้าน’ เป็นที่นิยมมากแค่ไหน ระยะนี้มีคนมากมายเท่าใดอยากรู้ตอนต่อไปของเรื่องนี้

ลู่เซวียนไม่สามารถทนความกระตือรือร้นของทั้งสองคนได้ เขาเอ่ยกับมู่ซืออวี่ว่า “ท่านไม่ได้บอกหรือว่าจะพาข้าไปหอหนังสือหงเหวิน?”

“จริงสิ” มู่ซืออวี่แสร้งทำเป็นไม่เห็นความเขินอายของลู่เซวียน นางพยายามข่มรอยยิ้มไว้แล้วขอตัวเขาจากหญิงสาวทั้งสองคน

ลู่เซวียนถูกทั้งสองคนจ้องมองเช่นนี้ก็รู้สึกขนลุกชันไปทั้งตัว กระทั่งรอดพ้นจากสายตาของพวกนางถึงได้หายใจคล่องขึ้น

“แค่สองคนนี้เจ้าก็รับมือไม่ไหวแล้วหรือ? เชื่อหรือไม่ หากข้าตะโกนออกไปว่าผู้เขียน ‘คันฉ่องสองด้าน’ อยู่ที่นี่ อย่างน้อยต้องมีหนึ่งร้อยคนกรูเข้ามามุงเจ้า”

ลู่เซวียนเผยสีหน้าประหลาดใจ “เพราะเหตุใดถึงจะกรูเข้ามาเล่า?”

“เป็นเพราะชอบอย่างไรเล่า!” มู่ซืออวี่บังคับรถม้าต่อ “เมื่อเจ้าชอบใครสักคนเป็นพิเศษก็จะอยากรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร อยากจะเห็นว่าหน้าตาเป็นแบบไหน”

“ชอบรึ…” ลู่เซวียนพึมพำ

ในตอนที่ท่านพ่อและท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ เขายังเป็นลูกชายคนสุดท้องของครอบครัว รักใคร่กลมเกลียวกับพี่ชาย ในตอนนั้นเขาร่าเริงสดใสดั่งดวงอาทิตย์

ทว่าหลังจากนั้น สายตาที่ทุกคนมองเขาล้วนเต็มไปด้วยความสงสาร ไม่มีความชอบหลงเหลืออยู่อีก

ที่แท้เขาก็ยังมีคนที่ชอบเขาอยู่…

ผู้ดูแลหอหนังสือหงเหวินยุ่งเป็นอย่างมาก ทั้งห้องเต็มไปด้วยความวุ่นวายโกลาหลเหมือนกับครั้งแรก ไม่มีแม้แต่ที่จะเหยียบลงไป

แต่สำหรับมู่ซืออวี่ เทพเจ้าแห่งโชคลาภผู้นี้ ท่าทีของเขานับว่ายังดีด้วย หลังจากรู้ว่าลู่เซวียนเป็นคนเขียน ‘คันฉ่องสองด้าน’ ก็เอ่ยชมเชยว่าเป็น ‘คนหนุ่มอนาคตไกล’

“มีคนส่งต้นฉบับอีกแล้วขอรับ” ผู้ดูแลหอหนังสือนำกระดาษปึกหนึ่งเข้ามาหา

ผู้ตรวจหนังสือฟางเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “อย่าบอกว่าเป็นต้นฉบับ ‘คันฉ่องด้านเดียว’ ‘คันฉ่องหลายด้าน’ นะ ตั้งแต่ ‘คันฉ่องสองด้าน’ กลายเป็นที่นิยม ต้นฉบับที่ข้าได้รับหมู่นี้ล้วนมีแต่เรื่องราวการแก้แค้น ไม่มีอะไรแปลกใหม่เลยสักนิด”

“หอหนังสือหงเหวินคงมีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวง เพียงแค่เรื่องเล่าเรื่องหนึ่งก็กระทบต่อคนมากขนาดนั้น” มู่ซืออวี่กล่าว

“สตรีผู้นี้รู้จักพูด จะปล่อยเล่มสี่เมื่อใดหรือ? เจ้าก็เห็นแล้ว หนังสือชุดนี้ขายดีมาก ไม่เพียงแต่เมืองฮู่เป่ยของเรา กระทั่งเมืองซูโจวที่อยู่ข้างเคียงก็มีคนไม่น้อยรอติดตาม”

“ที่ขายดีก็เป็นเพราะหอหนังสือหงเหวินมีอิทธิพล พวกเราไม่กล้ารับความดีความชอบหรอกเจ้าค่ะ แต่ว่านะ ข้าคิดว่าบางครั้งหิวโหยหน่อยย่อมดีกว่า ท่านไตร่ตรองดู หากตอบสนองความต้องการของทุกคนอย่างมืดบอด เช่นนั้นก็ไม่มีเรื่องให้ต้องเอ่ยถึงแล้ว มิสู้ค่อย ๆ หย่อนเบ็ดตกปลา เพิ่มความกระหายอยาก ถึงตอนนั้นเวลาสหายสองคนพบหน้ากัน สิ่งที่พวกเขาจะพูดไม่ใช่ ‘วันนี้เจ้ากินข้าวหรือยัง’ แต่จะเป็น วันนี้มี ‘คันฉ่องสองด้าน’ เล่มสี่แล้วหรือยัง? หากข้าง ๆ มีคนที่ไม่เคยอ่าน ก็จะถามว่าอะไรคือคันฉ่องสองด้าน”

ครั้นผู้ตรวจหนังสือฟางได้ฟังคารมคมคายของมู่ซืออวี่ จึงกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “สตรีคนนี้ไม่ยอมปล่อยผลงานเร็ว ๆ กลับเอ่ยเหตุผลประหลาด ๆ ออกมาเสียได้”

“ถึงแม้จะประหลาด ทว่ามีเหตุผลอยู่จริง ๆ นะขอรับ” ผู้ดูแลหอหนังสือที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้นมา “ผู้น้อยชอบกินหมูตุ๋นของภัตตาคารเจียงซื่อ ตอนนี้ไม่ได้กินอีกแล้ว ได้แต่คิดถึงรสชาติอันโอชะของเนื้อตุ๋นนั้นทุกวี่วัน”

“สิ่งที่คว้ามาไม่ได้มักจะดีที่สุดเสมอ นี่ไม่ใช่สัจธรรมหรอกหรือ?” มู่ซืออวี่แย้มยิ้ม “ข้ามีคำแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่รู้ว่าท่านอยากได้ยินหรือไม่?”

หลังจากออกมาจากหอหนังสือหงเหวิน ลู่เซวียนก็อึ้งจนตัวแข็งทื่อ

เขาเพิ่งได้เขียนสัญญาระยะยาวกับหอหนังสือหงเหวิน เดิมทีหนึ่งเล่มจะได้รับ 50 ตำลึงเงิน ตอนนี้เพิ่มขึ้นมาหนึ่งเท่า กลายมาเป็นร้อยตำลึงเงิน

“เจ้าเหม่ออะไร?” มู่ซืออวี่ผลักเขาเบา ๆ “ได้หอบเงินกองโตทั้งทีรู้สึกอย่างไร?”

ลู่เซวียนกระแอมเบา ๆ “ต่อจากนี้จะไปที่ใด?”

“รอพี่ชายเจ้ามาทานข้าว”

“เช่นนั้นให้เฟิงเจิงส่งข้ากลับหมู่บ้านเถอะ”

ลู่เซวียนคิดขึ้นมาว่า หากต้องพบเจิ้งซูอวี้และหลี่หงซูอีกครั้งต้องรู้สึกอึดอัดแน่

“วางใจเถิด คุณหนูเจิ้งยุ่งอยู่กับการดูแลกิจการ ปกติแล้วยุ่งมาก ถึงเจ้าจะอยากพบก็ยังไม่ง่ายขนาดนั้น ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงคุณหนูหลี่….”

“ใครอยากพบกัน? เจ้าอย่าได้พูดจาไร้สาระ” ลู่เซวียนขู่ฟ่อราวกับลูกแมวกำลังพองขน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย