ลู่เซวียนมองทั้งสองสลับกันพลางเคี้ยวแป้งทอดกร้วม ๆ “เหตุใดพวกเจ้าสองคนจึงพิลึกพิลั่นเช่นนี้ สามีภรรยาที่ไหนเป็นแบบนี้กัน?”
มู่ซืออวี่เงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “น้องสามีดูเหมือนจะมีประสบการณ์เยอะ ดีเลย ถือโอกาสที่พี่ใหญ่เจ้ากำลังพักผ่อน ไม่สู้วันนี้ก็จัดการเรื่องการแต่งงานของเจ้าเสียเลย?”
ลู่เซวียนที่กำลังกินแป้งทอดชะงัก จ้องมู่ซืออวี่เขม็งราวกับกระรอกที่กำลังโกรธทั้งที่ปากยังเต็มไปด้วยแป้งทอด
มู่ซืออวี่ไม่สนใจเขา หันกลับไปหาลู่อี้แล้วเอ่ยว่า “หมู่นี้เจ้าออกไปแต่เช้ากลับมาก็มืดค่ำ ไม่รู้ว่าน้องสามีต้องต้อนรับแขกเหรื่อมากเพียงใด ข้าขอนับประเดี๋ยว… คงจะราว ๆ ยี่สิบบ้านกระมังที่มาทาบทามสู่ขอเขา”
ลู่อี้มองลู่เซวียนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าอย่างครุ่นคิด
“ท่านพี่ ท่านคิดจะทำอะไร? ข้าไม่แต่งงานนะ” ลู่เซวียนมองลู่อี้อย่างหวาดระแวง
“ชายต้องแต่งภรรยา หญิงต้องออกเรือน จะไม่แต่งงานได้อย่างไร?” ลู่อี้เอ่ย “เจ้ามีคนที่ชอบแล้วหรือไม่? ถ้ามีแล้วก็บอกข้า ข้าจะไปเชิญแม่สื่อมาสู่ขอทาบทามให้”
“ข้าไม่มี” ลู่เซวียนลุกขึ้น “วันนี้ข้าต้องไปรายงานตัวที่สำนักศึกษาหมู่บ้านข้าง ๆ ข้าไปก่อนล่ะ”
ลู่อี้หันมามองมู่ซืออวี่
เป็นเพราะเหตุการณ์สั้น ๆ เมื่อครู่นี้ ทั้งสองคนจึงผ่อนคลายลง
“น้องสามีตัดสินใจที่จะไปสอนในสำนักศึกษาหมู่บ้านข้าง ๆ” มู่ซืออวี่กล่าว “หากมีเวลาก็อาจเขียนหนังสือ”
“เช่นนี้ก็ดี” ลู่อี้เอ่ย
ชาวบ้านเห็นลู่อี้ไปที่สวนก็นึกอยากรู้อยากเห็น
ณ แปลงผักของบ้านลู่จึงมีชาวบ้านหลายคนเดินเฉียดเข้ามาใกล้อยู่บ่อยครั้ง พวกเขาเดินแบกจอบไว้บนบ่าอยู่เป็นนานสองนาน แต่ก็ยังไม่ไปทำงานในไร่นาของตัวเอง ส่วนหญิงออกเรือนหลายนางถือเมล็ดแตงโม ยืนแทะอยู่ไม่ไกลออกไป
“พี่อี้ ตอนนี้ท่านเป็นถึงจู่ปู้แล้ว เหตุใดยังทำงานในแปลงผักอีกเล่า?”
“ตราบใดที่เป็นคนคนหนึ่งก็ล้วนต้องทำงาน โดยเฉพาะบุรุษ ยามปกติไม่ได้ช่วยก็แล้วไปเถิด หากหยุดพักผ่อนแล้วยังไม่ช่วยภรรยาทำงานอีก นั่นจะนับเป็นบุรุษได้อย่างไร?”
“ได้ยินลู่อี้เอ่ยเช่นนี้ ไม่สิ ใต้เท้าลู่ ภรรยาท่านโชคดีจริง ๆ!”
มู่ซือเจียวที่สะพายตะกร้าผักป่าไว้บนหลังเดินผ่านมาตามคันนา คำเหล่านั้นเข้ากระทบเข้าหูนาง ทำให้หัวใจของนางราวกับถูกเข็มทิ่มแทง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่มู่ซื่ออวี่ครอบครองในวันนี้ควรเป็นของนางสิถึงจะถูก
หากตอนนั้นเป็นนางที่วางยาลู่อี้ด้วยตัวเอง ลู่อี้ก็คงแต่งงานกับนางไปแล้ว
นางงดงามเช่นนี้ ลู่อี้จะไม่ดีกับนางยิ่งกว่าหรือ?
หากเป็นเช่นนั้นคงไม่เหมือนตอนนี้ นางไปหาญาติผู้พี่ของนาง แต่ท่านลุงและญาติผู้พี่ติดหนี้เป็นจำนวนมากจึงหลบหนีไปแล้ว ท่านหมอบอกว่านางกำลังตั้งท้อง ทั้งท่านย่า ท่านพ่อ และท่านแม่ต่างไม่พอใจนาง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะต้องเป็นบ้าแน่ ๆ
มู่ซือเจียวนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ นางจึงตรงดิ่งกลับบ้านทันที
“มู่ซือเจียว…” ลู่เหม่ยฉินเห็นตะกร้าบนหลังมู่ซือเจียวมีรอยรั่วจึงพยายามจะเตือน แต่กลับเห็นอีกฝ่ายไม่สนใจ รีบวิ่งจ้ำอ้าวไปเสียอย่างนั้น
ลู่เหม่ยฉินขมวดคิ้วขณะมองท่าทางรีบร้อนของมู่ซือเจียว
“นางทำอะไรน่ะ นับวันยิ่งแปลกขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”
มู่ซือเจียววิ่งกลับมาที่บ้านแล้ววางตะกร้าลง
“กลับมาทำไมตอนนี้?” แม่เฒ่าเจียงเห็นมู่ซือเจียวทำสิ่งใดก็ไม่เข้าตาไปซะทุกอย่าง สบโอกาสก็ด่านางอยู่ร่ำไป “นี่ ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ? ”
แม่เฒ่าเจียงเห็นอีกฝ่ายวิ่งผ่านตนเองไปประหนึ่งคนบ้า จึงรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที
“คงไม่บ้าไปแล้วจริง ๆ กระมัง? ถ้าบ้าจะแต่งงานได้อย่างไร?”
มู่ซือเจียวค้นข้าวของอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงพบยาขวดหนึ่งอยู่ก้นตู้ นางเปิดขวดยาออกมาดมกลิ่นดู ดวงตาฉายแววครึ้มอกครึ้มใจ
“นี่แหละ”
ตอนนั้นเป็นเพราะยาขวดนี้ ลู่อี้จึงได้แต่งงานกับมู่ซืออวี่ ตอนนี้นางก็จะใช้มันทำเรื่องดี ๆ เช่นกัน
…
ลู่อี้เช็ดเหงื่อตนเอง จากนั้นยกจอบขึ้นมาเดินกลับไป
ทันใดนั้นเด็กคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา ในมือถือถ้วยใบหนึ่งไว้แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาอี้ ท่านดื่มน้ำเสียหน่อย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย
กำลังสนุกเลยค่ะ ขอบคุณแอดที่ลงให้อ่านนะคะ แต่ถ้าลงวันละ 10 ตอนจะดีมากเลยค่ะ รออ่านอยู่นะคะ...
รออ่านบทต่อไปค่ะ...