ตอน บทที่ 234 ลู่อี้กล่าวเช่นนั้นก็เปิดโลงเสีย จาก ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 234 ลู่อี้กล่าวเช่นนั้นก็เปิดโลงเสีย คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายเวลาเดินทาง ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย ที่เขียนโดย ฮั่วลั่วหยิง เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
“หรือว่าคนผู้นี้เป็นพยานได้?” นายอำเภอฉินไม่รู้จักท่านหมอลี่
ลู่อี้ประสานมือมือกล่าวว่า “เรียนใต้เท้า รบกวนให้ท่านหมอลี่ชันสูตรอีกครั้งด้วยขอรับ”
นายอำเภอฉินขมวดคิ้ว “ผ่านไปสิบวัน ศพเน่าเปื่อยและถูกฝังไปแล้ว ถึงเวลานี้แล้วจะชันสูตรอีกครั้งได้อย่างไร?”
“เช่นนั้นก็เปิดโลงชันสูตรเถอะขอรับ”
“เหลวไหล!”
“ข้าน้อยไม่ได้เหลวไหล แต่ข้าน้อยอยากพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ก็ต้องเปิดโลงชันสูตรขอรับ” ชายหนุ่มกล่าวต่อไปว่า “ใต้เท้าเคยกล่าวว่าตราบใดที่คดีอยู่ในมือท่าน จะไม่มีคดีที่ได้รับความไม่เป็นธรรมเด็ดขาด หากใต้เท้าอยากให้คดีนี้กระจ่าง จำเป็นต้องไขออกมาให้ชัดเจน ท่านหมอลี่เป็นหมอที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองใกล้เคียงกันนี้ ทั้งยังเคยเป็นหมอหลวงอยู่ในพระราชวัง ฝีมือชันสูตรของเขาสามารถเชื่อได้มากกว่าขอรับ”
“หรือเจ้าคิดว่าศาลาว่าการของข้าทำงานไม่ถี่ถ้วนรึ?” นายอำเภอฉินรู้สึกไม่พอใจ
“สี่เท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ถึงแม้จะผิดพลาดไปบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดขอรับ”
“ท่านใต้เท้า” หลินตงคุกเข่าลง “ท่านพ่อของข้าตายอย่างน่าอนาถ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ฝังเขา ตอนนี้จะขุดเขาขึ้นมาอีกครั้ง กระทั่งตายแล้วเขายังไม่ได้รับความสงบ! ใต้เท้าได้โปรดพิจารณา”
นายอำเภอฉินปวดหัวตุบ ๆ
ลู่อี้ผู้นี้รู้จักสร้างความลำบากให้เขาจริง ๆ
นับแต่โบราณกาลมา ผู้ตายสำคัญที่สุด บัดนี้กลบฝังแล้วยังจะขุดขึ้นมา นี่จะไม่ผิดครรลองคลองธรรมหรอกหรือ?
“ใต้เท้า เพราะผู้ตายสำคัญที่สุด พวกเราต้องค้นหาความจริงว่าเขาตายได้อย่างไร หากเขาตายไปโดยไม่รู้สาเหตุ เช่นนั้นจะไม่ใช่ว่ายิ่งไม่เป็นธรรมหรอกหรือเจ้าคะ? ถึงแม้เขาจะไปอยู่ในปรโลก เขาก็ไม่อาจร้องทุกข์ได้ มิหนำซ้ำอาจจะไม่ได้ไปเกิดนะเจ้าคะ!” มู่ซืออวี่ตะโกนอยู่หน้าประตู
“สิ่งที่ฮูหยินผู้นี้พูดมาก็มีเหตุผล”
ชาวเมืองคนอื่น ๆ ล้วนเห็นพ้องต้องกัน
ลู่อี้ได้ยินเสียงของมู่ซืออวี่จึงหันกลับมามองนาง เขายิ้มให้นางเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมาสองคำอย่างไร้สุ้มเสียง “เชื่อข้า”
มู่ซืออวี่พยักหน้ามองเขาด้วยความเชื่อมั่น
“ใต้เท้า ไม่ได้นะขอรับ!” หลินตงยังคงไม่ยินยอม
ทว่าถึงตอนนี้แล้ว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหลินตงว่าจะยินยอมหรือไม่ ท้ายที่สุดขึ้นอยู่กับการตัดสินของใต้เท้าฉิน
“เปิดโลงชันสูตร” ใต้เท้าฉินกล่าว “ใครก็ได้ นำร่างของหลินต้าจ้วงกลับมาที่นี่ ชันสูตรศพใหม่เดี๋ยวนี้”
“รับทราบขอรับ!” นักการเกากล่าว “ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้”
ท่ามกลางกลุ่มคน เฉินเซียนเฉิงมองคนผู้หนึ่งที่อยู่มุมลับตา คนผู้นั้นพยักหน้าแล้วถอยออกไปเงียบ ๆ
เซี่ยคุนคอยสังเกตสถานการณ์โดยรอบตลอดเวลา จึงย่อมสังเกตเห็นการกระทำของสองคนนั้น
เขาตามไปติด ๆ ทันที
จากเมืองมายังหมู่บ้านครอบครัวลู่ แม้กระทั่งเส้นทางที่เร็วที่สุดยังต้องใช้เวลาถึงสองชั่วยาม ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าต้องขุดหลุมอีก
“ลู่อี้ ในเมื่อเจ้าส่งคนไปเชิญท่านหมอชื่อดังอย่างท่านหมอลี่มา เหตุใดเจ้าไม่แจ้งข้าเสียแต่เนิ่น ๆ หากแจ้งให้ทราบเสียก่อน ก็ไม่จำเป็นต้องขุดหลุมฝังศพ” นายอำเภอฉินกล่าว
“ใต้เท้าได้โปรดตัดสิน หากบอกกล่าวล่วงหน้า หลักฐานบางอย่างอาจหายไป มีแค่เพียงกระทำอย่างเงียบเชียบเท่านั้น จึงจะไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น หลังจากนี้พวกเราจะได้ทราบสิ่งที่เราต้องการจะทราบ”
“เจ้าหมายความว่ามีคนคิดจะทำลายหลักฐานหรือ?”
“อีกเดี๋ยวใต้เท้าก็จะได้ทราบขอรับ”
มู่ซืออวี่หันหน้ากลับไปก็เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนัก หญิงสาวคนนั้นสวมหมวกคลุมด้วยผ้าโปร่งบาง แต่งกายอย่างสตรีชนชั้นสูง
เฉินซือจวินหลบไปด้านข้าง
ชิวสุ่ยกระซิบเบา ๆ ว่า “คุณหนู ท่านอยากซื้อม้านั่งบุนวมที่นางเอ่ยถึงจริง ๆ หรือเจ้าคะ? 300 ตำลึงนั้นมากโขเลยนะเจ้าคะ นี่มันปล้นกันชัด ๆ”
จริงอยู่ที่ว่าเฉินซือจวินเป็นหลานสาวของเจียงเหล่า แต่นางก็ต้องพึ่งพาคนอื่น ในมือไม่มีเงินมากมายเช่นนั้น ใช้เงิน 300 ตำลึงซื้อม้านั่งหนึ่งตัว หากเจียงเหล่ารู้เข้า เกรงว่าจะถูกทำโทษไม่ต่างจากสุนัข
สองชั่วยามคือสี่ชั่วโมง เป็นไปไม่ได้ที่จะรออยู่ที่นี่ถึงสี่ชั่วโมง ดังนั้นชาวเมืองหลายคนจึงแยกย้ายไปทำสิ่งอื่น เหลือเพียงญาติพี่น้องไม่กี่คนที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู
นายอำเภอฉินและที่ปรึกษากลับไปพักที่ห้องด้านหลังแล้ว
ลู่อี้และหลินตงไม่ได้ถูกควบคุมตัวไว้ หลินตงนั่งอยู่บนพื้น ส่วนลู่อี้ขอให้นักการย้ายเก้าอี้มาให้แล้วนั่งลง ก่อนจะถือหนังสือไว้ในมือแล้วอ่านมัน
“ท่านพ่อของเจ้าไม่อยู่แล้ว เหตุใดเจ้าถึงได้ดูมีความสุขนัก” จู่ ๆ ลู่อี้ก็เอ่ยกับหลินตง
สายตาของหลินตงเบิกกว้าง “เจ้าอย่ามาพูดมั่ว ๆ! แน่นอนว่าข้าต้องเสียใจมาก”
“เสียใจ? เช่นนั้นเหตุใดเจ้าต้องซื้อรองเท้าใหม่?” ลู่อี้เหลือบตามองเท้าของอีกฝ่าย “ไม่เพียงแต่รองเท้าใหม่เท่านั้น แต่ยังมีเงินไปดื่มสุราดอกไม้อีก”
“ไม่ใช่… ข้าไม่ได้ไป” หลินตงฉุนเฉียว
ลู่อี้เลิกคุยกับหลินตง อ่านหนังสือในมือต่อไปตามเดิม
หลินตงเริ่มรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาแล้ว
เขามองไปที่ประตูแต่ไม่เห็นคนที่คุ้นเคย จากนั้นจึงหันไปมองโต๊ะของนายอำเภอฉิน
เหงื่อพลันไหลหยดลงจากหน้าผาก สีหน้าก็ซีดเผือดลงเรื่อย ๆ ราวกับกำลังรู้สึกผิดอย่างไรอย่างนั้น
[1] สาวชาเขียว หมายถึง ผู้หญิงที่แสร้งทำตัวบอบบางอ่อนแอให้คนสงสาร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย
รออ่านบทต่อไปนานแล้ว...
กำลังสนุกเลยค่ะ ขอบคุณแอดที่ลงให้อ่านนะคะ แต่ถ้าลงวันละ 10 ตอนจะดีมากเลยค่ะ รออ่านอยู่นะคะ...
รออ่านบทต่อไปค่ะ...