หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน เส้นบะหมี่ก็ดูดซับน้ำจนแห้งอืด
มู่ซืออวี่เติมน้ำ เทบะหมี่ที่ยังไม่ได้กินลงไปในหม้อแล้วอุ่นอีกครั้ง
“ข้าไม่คาดคิดว่าพี่เฉิงเฉวียนจะเชื่อหญิงปากร้ายผู้นั้น”
ลู่เซวียนซึ่งยืนอยู่หน้าประตูมองไปยังทิศทางห้องครัวก่อนจะกล่าวขึ้น “แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับใครบางคน ช่างน่าตำหนิเสียจริง ผ่านไปไม่พ้นสามวันก็สร้างปัญหาอีกครา มีนางอยู่ที่นี่ คนทั้งหมู่บ้านต้องไม่อยากคบค้าสมาคมกับบ้านเราแน่”
มู่ซืออวี่เย้ยหยัน “ช่างน่าขันเสียจริง! ช่างชอบพบปะผู้คนเสียจริง มิน่าเล่าวัน ๆ ถึงไม่คิดจะทำสิ่งใด เพียงเดินทางไปบ้านผู้นั้นทีผู้นี้ที”
“ท่านพี่ ดูนางสิ ยังไม่รู้จักสำนึกอีก” ลู่เซวียนโมโห สายตาจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจ
“ข้าทำสิ่งใดผิด? หวังซื่อเป็นผู้ลงมือก่อน ข้าไม่ควรโต้กลับนางอย่างนั้นหรือ? เห็นอยู่ว่านางใส่ร้ายข้า ข้าไม่ควรสอนบทเรียนให้แก่นางหรือ? ขอโทษแล้วกันที่ข้าเป็นคนอดทนไม่เก่ง”
“เจ้า… เจ้า… ช่างน่ารังเกียจเสียจริง”
“เอาล่ะ” ลู่อี้ขัดจังหวะการโต้เถียงระหว่างทั้งสอง “น้องเซวียน สุขภาพของเจ้าไม่ค่อยดี รีบเข้านอนเถิด”
มู่ซืออวี่เองก็โกรธมากเช่นกัน “ใช่แล้ว ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว หรือเป็นเพราะเจ้านอนไม่หลับก็เลยมายั่วยุข้าเพื่อสร้างปัญหา?”
“ท่านพี่ ยาของท่านแม่พร้อมแล้วหรือไม่?” มู่เจิ้งหานออกมาจากห้องพักและเอ่ยถาม
“ข้ากำลังต้มอยู่บนเตา จะพร้อมให้ดื่มในอีกไม่นาน” มู่ซืออวี่ไม่สนใจลู่เซวียน นางเดินกลับไปยังห้องครัวเพื่อดูยาที่ต้มอยู่
“ท่านพี่ ดูท่าทางของนางเถิด…” ลู่เซวียนกล่าวอย่างโกรธเคือง “ก่อนหน้านี้ข้าไม่กล้าบอกเล่าถึงเรื่องไร้สาระเช่นนี้ต่อหน้าท่าน แต่ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว หากยังปล่อยให้นางเป็นเช่นนี้ต่อไป แล้วผู้ใดจะควบคุมนางได้อีก?”
“น้องเซวียน เจ้าดื่มยาแล้วหรือ?” ลู่อี้เอ่ยถาม
“ข้าไม่ต้องการดื่มของไร้ประโยชน์เช่นนั้น” ลู่เซวียนกล่าว “ท่านพี่ อย่าเสียเงินซื้อยาให้ข้าอีกเลย ในเมื่อข้ามีชีวิตอยู่มาได้จนทุกวันนี้ วันต่อไปข้างหน้าข้าก็อยู่ได้!”
“ไร้สาระ ข้าไม่ชอบฟังเรื่องเช่นนี้ อย่าทำให้ข้าโกรธเลย” ลู่อี้จ้องมองน้องชายด้วยแววตาจริงจังและเฉียบขาด “ข้าสัญญากับท่านพ่อและท่านแม่ว่าจะปกป้องเจ้า ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าจะเพิกเฉยต่อความพยายามของข้าไม่ได้!”
“ร่างกายของท่านพี่แข็งแกร่งจนดูเหมือนจะมีอายุได้นับร้อยปี จะให้ข้าเทียบกับท่านได้อย่างไร” ลู่เซวียนพึมพำ
…
อากาศในยุคโบราณบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง ไร้ซึ่งมลพิษจากโรงงาน ท้องฟ้าปลอดโปร่งและงดงาม อากาศโดยรอบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของต้นไม้
เสียงไก่ขันดังขึ้นเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นของวันอันยุ่งเหยิง
เอ้กอีเอ้กเอ้ก! เอ้กอีเอ้กเอ้ก!
ลู่เซวียนเดินออกมาจากด้านในพลางบิดขี้เกียจ เมื่อเขาเห็นร่างของบุคคลหนึ่งกำลังยุ่งอยู่กับงานในลานบ้าน แววตาของเขาก็เผยความประหลาดใจ
เขาคิดว่าเป็นลู่อี้ที่กำลังง่วนอยู่กับงาน แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นคนขี้เกียจอย่างมู่ซืออวี่
เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า
เพิ่งรุ่งสาง ยังเช้าอยู่เลย!
“เจ้ามัวแต่ทำสิ่งใดอยู่?”
“หากข้าบอกตอนนี้เจ้าก็ไม่เข้าใจ ไว้ข้าจะบอกทุกสิ่งหลังเสร็จสิ้นก็แล้วกัน!” มู่ซืออวี่กล่าวโดยไม่เงยหน้า
“ข้าไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือ? หึ!” เห็นได้ชัดว่าลู่เซวียนไม่เชื่อ
เมื่อเห็นนางยังคงก้มหน้าก้มตาทำงาน เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “เครื่องมือเหล่านี้ล้วนยืมมาจากผู้อื่น ใช้อย่างระมัดระวังด้วยล่ะ”
“เข้าใจแล้ว เจ้านี่ช่างเจ้ากี้เจ้าการเสียจริง” มู่ซืออวี่กล่าวอย่างหมดความอดทน “ข้าเตรียมอาหารเช้าไว้ให้แล้ว จุดไฟแล้วอุ่นกินเองเถิด”
ลู่เซวียนจ้องมองมู่ซืออวี่จากด้านหลัง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
ลู่จื่ออวิ๋นขยี้ตาพลางเดินออกมา
นางเดินออกมาเท้าเปล่าพร้อมผมอันยุ่งเหยิง จากนั้นก็นั่งลงบนธรณีประตูแล้วจ้องมองการเคลื่อนไหวของมู่ซืออวี่
“อวิ๋นเอ๋อร์ เหตุใดจึงไม่ใส่รองเท้าเล่า?” ลู่เซวียนขมวดคิ้วพลางก้มลงหมายจะอุ้มลู่จื่ออวิ๋น
ขณะที่เขากำลังเอื้อมมือเข้าอุ้มนาง เขาก็พลันรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาที่หน้าอก
“อะแฮ่ม!”
“ท่านอา อย่าอุ้มข้า” ลู่จื่ออวิ๋นรีบลุกขึ้น
“ทำอะไรกันอยู่?” ลู่อี้เพิ่งเดินทางกลับมาจากด้านนอก
เขาถือเคียวอยู่ในมือ ดูเหมือนว่าเพิ่งตัดหญ้าเสร็จ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย
กำลังสนุกเลยค่ะ ขอบคุณแอดที่ลงให้อ่านนะคะ แต่ถ้าลงวันละ 10 ตอนจะดีมากเลยค่ะ รออ่านอยู่นะคะ...
รออ่านบทต่อไปค่ะ...