ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย นิยาย บท 484

สรุปบท บทที่ 484 หวนกลับมาพบกัน: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย

สรุปตอน บทที่ 484 หวนกลับมาพบกัน – จากเรื่อง ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย โดย ฮั่วลั่วหยิง

ตอน บทที่ 484 หวนกลับมาพบกัน ของนิยายเวลาเดินทางเรื่องดัง ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย โดยนักเขียน ฮั่วลั่วหยิง เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

“องค์ชายห้า” ลู่อี้ประกบมือค้อมคำนับ

“รถม้าของพวกเขาอยู่ข้างหลัง ใต้เท้าลู่วางใจได้ ไม่นานก็ถึงแล้ว” ฟ่านเหยี่ยนมองความกระวนกระวายของอีกฝ่ายออก

“เหตุใดจึง…”

“พวกเราพบกองคาราวานเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน รถม้าของพวกเขาติดหล่ม ล้อแตก ฮู่หยินลู่จึงคอยช่วยอยู่ที่นั่น แต่ใต้เท้าลู่วางใจเถิด คาราวานนั้นเป็นของตระกูลฉิน คนคุ้นเคยกันน่ะ”

เดิมทีลู่อี้รู้สึกเป็นห่วง ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของฟ่านเหยี่ยน ความกังวลของเขาก็เลือนหายไป

“ไม่พบกันสองปี องค์ชายโตขึ้นมาก” ลู่อี้เอ่ย “ในเมื่อองค์ชายกลับมายังเมืองหลวงแล้ว ข้าจะส่งคนคุ้มครองท่านกลับพระราชวัง ฝ่าบาทและเหนียงเหนียงจะได้ไม่ต้องเป็นกังวล”

“ไม่รีบร้อน ๆ ข้าจะไปที่บ้านท่านตาเสียก่อน” ฟ่านเหยี่ยนเกรงว่าลู่อี้จะเอ่ยอะไรมากความ จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “ในเมื่อภารกิจส่งสารของข้าเสร็จแล้ว เช่นนั้น ข้าจะล่วงหน้าไปก่อน ส่วนรถม้าจะส่งคืนตระกูลลู่ทีหลัง”

มือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากรถม้า จากนั้นใบหน้างดงามราวบรรจงปั้นก็ปรากฏขึ้น คนผู้นั้นพยักหน้าให้ลู่อี้ แล้วปิดม่านลง

“คนเมื่อครู่นี้… ดูเหมือนจะเป็นบุตรชายคนรองของเสนาบดีเจียง” เซี่ยคุนเอ่ยกับลู่อี้ “ไม่นานมานี้ เสนาบดีเจียงเพิ่งปะทะกับเจียงเก๋อเหล่า เขาถูกคนของเจียงเก๋อเหล่าใช้สารพัดวิธีข่มไว้ สถานการณ์ของเสนาบดีกรมกลาโหมตอนนี้ไม่สู้ดีนัก”

หลังจากฟ่านเหยี่ยนไปแล้ว ลู่อี้และเซี่ยคุนรออยู่อีกพักหนึ่ง ไม่นานนัก ขบวนใหญ่โตก็เคลื่อนมาถึง

“ท่านพ่อ!… ท่านพ่อ!…” เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์นั่งอยู่ติดหน้าต่างรถม้า ตะโกนมาทางลู่อี้ “ท่านพ่อ!…”

สายตาของลู่อี้อ่อนโยนลง เขาเฝ้ามองร่างภรรยาและลูก ๆ ของตนค่อย ๆ ปรากฏผ่านสายตา ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าหัวใจที่ว่างเปล่าได้รับการเติมเต็มแล้ว

ทันทีที่รถม้าหยุดลง ลู่จื่ออวิ๋นก็รุดเข้ามาหาบิดา

ลู่อี้เอื้อมมือออกไปรับนางไว้ อุ้มลู่จื่ออวิ๋นขึ้นมา

“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์” ลู่ฉาวอวี่ลงจากรถม้า “เจ้าโตถึงเพียงนี้ เหตุใดยังกระโดดเข้าหาอ้อมกอดท่านพ่ออีก? วันนี้แล้วไป แต่ภายหน้าไม่อนุญาตให้ทำแล้ว”

ลู่ฉาวอวี่อยู่ในช่วงเสียงแตก เสียงของเขาจึงฟังดูแปร่ง ๆ เล็กน้อย วัยนี้เป็นช่วงเวลาที่อ่อนไหวที่สุดสำหรับเด็กชาย ปกติเด็กชายคนอื่น ๆ มักอายเมื่อเสียงแตกหนุ่ม ทว่าลู่ฉาวอวี่กลับดูปกติ ไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากความเปลี่ยนแปลงนี้แม้แต่น้อย

เขามายืนอยู่ตรงหน้าลู่อี้ จากนั้นค้อมคำนับอย่างสุขุม “ท่านพ่อ”

“ดีมาก” ลู่อี้ตบลงบนบ่าของลูกชาย “สูงใหญ่ขึ้น อีกทั้งยังแข็งแกร่งขึ้นแล้ว”

เซี่ยคุนที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยว่า “ดูเหมือนเขาจะเคร่งครัดอยู่เสมอ”

“สิ่งที่ท่านลุงเซี่ยสอน ข้าไม่เคยลืมแม้แต่วันเดียว” ลู่ฉาวอวี่กล่าว

มู่ซืออวี่อุ้มลู่จื่อชิง นางค่อย ๆ เดินลงมาจากรถม้า

ลู่อี้รับลู่จื่อชิงมาจากอ้อมแขนของภรรยา จากนั้นก็เอื้อมมือออกไปกอดนาง

“พวกท่านคงรอนานแล้ว”

“ไม่นาน” ลู่อี้กล่าว “นอกจากนี้ ไม่ว่าจะต้องรอนานพียงใดก็ควรรอ ฮูหยินเดินทางมาครั้งนี้ลำบากแล้ว ข้าให้บ่าวรับใช้เตรียมน้ำร้อนไว้ อาบน้ำเสียก่อนค่อยทานอาหารทีหลังเถิด”

ลู่อี้พาทุกคนกลับไปยังจวนของตน

จวนตระกูลลู่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี

มู่ซืออวี่ชมท่านลุงหลินป๋อสองสามคำ ฝ่ายหลังยิ้มแย้มเสมือนเด็ก ๆ

เมื่อมู่ซืออวี่ออกมาจากห้องอาบน้ำ นางก็เห็นว่าลู่จื่ออวิ๋นและลู่ฉาวอวี่อยู่ในห้อง ส่วนลู่จื่อชิงกำลังหลับอยู่ในเปลใหม่ ใบหน้าเล็กน่ารักของนางมีรอยนิ้วมือสีแดงอยู่บนนั้น มองแวบเดียวก็บอกได้ว่าผู้ใดเป็นคนจิ้ม

ลู่ฉาวอวี่ไม่เคยจับตัวคนอื่น ส่วนลู่จื่ออวิ๋นแม้ชอบเล่นกับน้องเป็นประจำ ทว่าเด็กหญิงจะมีแรงมากเพียงใดกัน ปกติแล้วนางเพียงจิ้มแก้มย้วย ๆ นั่นเพื่อความสนุก ผู้ร้ายจึงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากลู่อี้

ลู่อี้สังเกตเห็นสายตาดุ ๆ ของมู่ซืออวี่ก็รู้สึกผิด

เด็กหญิงตัวน้อยรู้จักเรียกพ่อแล้ว แต่นางนอนหลับตลอดตั้งแต่ลงมาจากรถม้า เขาอยากได้ยินนางเรียกว่าพ่อ เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวเล็กหลับได้น่ารักเพียงนี้ จึงอดที่จะจิ้มแก้มไปทีสองทีไม่ได้ ผู้ใดจะรู้เล่าว่าผิวหนังของเด็กจะบอบบางเช่นนี้?

“แอ้… แอ้…” ลู่จื่อชิงตื่นแล้ว

นางยังพูดได้ไม่ชัดนัก เสียงที่เปล่งออกมาจึงแปลก ทว่าน่ารักเป็นอย่างมาก แม้แต่พี่ชายหน้าตาเย็นชาของนางก็ดูโอนโยนขึ้นหลายส่วนยามมองน้องสาวคนเล็ก

ลู่จื่อชิงเอื้อมมือออกไปคว้าซี่เปลไม้และค่อย ๆ พยุงตัวเองขึ้น

“น้องหญิงตื่นแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นอุ้มนางออกมา

เสี่ยวชิงเอ๋อร์ดิ้นจนผู้เป็นพี่ซวนเซ นางขยุกขยิกตัวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงดิ้นลงมานั่งกับพื้น

ศีรษะที่ประดับเขาแพะน้อย ๆ สองอัน และดวงตากลมโตคู่นั้นเงยหน้าขึ้นมองลู่อี้ ทำเอาบุรุษแข็งกระด้างอ่อนโยนลงง่าย ๆ

ลู่อี้พลันตระหนกขึ้นมา “เป็นอะไรไป? เจ็บหรือ? ข้าไม่ได้ใช้แรงนะ”

“แง…” ลู่จื่อชิงยังคงร้องไห้ต่อไป

มู่ซืออวี่เหลือบมองแวบหนึ่ง จากนั้นเอ่ยด้วยท่าทีสงบ “นางไม่ชอบให้คนเรียกว่า ‘เด็กโง่’ นางเข้าใจว่าคำว่า ‘เด็กโง่’ เป็นคำไม่ดี เพราะซูอวี้มักจะแกล้งนางเช่นนี้บ่อยครั้ง”

“ท่านพ่อ ท่านปล่อยน้องหญิงลงเถอะ น้องหญิงยังไม่คุ้นเคยกับท่าน รอนางคุ้นเคยแล้ว นางจะเรียกท่านเอง” ลู่จื่ออวิ๋นปวดใจจนต้องดึงแขนบิดาเพื่อขอให้เขาวางลู่จื่อชิงลง

“ฟ้าร้องแต่ไร้ฝน นางช่างรู้จักลูกไม้เล็ก ๆ น้อย ๆ ดีนัก” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยเบา ๆ “อย่าได้ถูกนางหลอกเอา”

“ลู่จื่อชิง หากเจ้ายังร้องไห้โยเย อาหารเย็นวันนี้ก็ไม่มีแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ยด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อย “เจ้าก็รู้ ข้าพูดจริงทำจริง”

เสียงร้องไห้หยุดลงทันที

ลู่จื่อชิงกะพริบตาอันเฉลียวฉลาดของนาง มองลู่อี้อย่างไร้เดียงสา “พ่อ…”

ลู่อี้ “…”

นี่เป็นเด็กอายุน้อยกว่าสองปีจริงหรือ?

เด็ก ๆ ทุกวันนี้จัดการยากเช่นนี้หรือ?

ทั้งครอบครัวทานอาหารเย็นเลี้ยงฉลองที่ได้กลับมาพบกัน อันอวี้และเซี่ยคุนก็มา

หลังจากแยกจากกันนานเพียงนี้ พวกเขามีเรื่องพูดคุยกันไม่รู้จบ บรรยากาศของครอบครัวดียิ่ง มีเพียงลู่เซวียนเท่านั้นที่ดูกังวล ไม่รู้ว่าไปพบปัญหาอะไรมา

หลังจากมื้อค่ำ ลู่อี้เรียกลู่เซวียนเข้าไปในห้องตำรา เซี่ยคุนและจือเชียนก็ตามเข้าไปเช่นกัน

“อันอวี้ เจ้าคุ้นเคยกับการอาศัยอยู่ในเมืองหลวงแล้วหรือยัง?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม

“เริ่มแรกยังไม่ค่อยชินนัก ทว่าข้าได้รับจดหมายจากอาจารย์ หลังจากเข้าหอซือเป่า ข้าก็ไม่เบื่ออีกต่อไปแล้ว” อันอวี้เอ่ย

“หอซือเป่าเป็นสถานที่เช่นใด?” จื่อซูที่อยู่ข้าง ๆ ถาม

อันอวี้มองลู่จื่ออวิ๋น “อวิ๋นเอ๋อร์คงรู้กระมัง? เจ้าจากอาจารย์มาแล้ว นางย่อมไม่อาจทิ้งให้เจ้าอยู่เพียงลำพังจะต้องเตรียมการเรื่องอื่นให้เจ้าแล้วเป็นแน่”

“อื้ม” ลู่จื่ออวิ๋นพยักหน้า “ข้ารู้ อาจารย์ให้จดหมายแนะนำข้ามา นางให้ข้าไปหาซ่งกูกูที่นั่น”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย