ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย นิยาย บท 515

สรุปบท บทที่ 515 เจ้าของม้า: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย

บทที่ 515 เจ้าของม้า – ตอนที่ต้องอ่านของ ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย

ตอนนี้ของ ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย โดย ฮั่วลั่วหยิง ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายเวลาเดินทางทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 515 เจ้าของม้า จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ภายในรถม้า ฟ่านเหยี่ยนเล่าเรื่องที่เขามีจวนอ๋องแล้วให้ฟัง

ลู่จื่ออวิ๋นจึงกล่าวว่า “ยินดีกับท่านด้วย”

“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ หากจวนอ๋องของข้าตกแต่งใหม่แล้ว ข้าจะจัดงานเลี้ยง ถึงตอนนั้นเจ้าต้องมาให้ได้ล่ะ!” ฟ่านเหยี่ยนมองลู่จื่ออวิ๋น สายตาเขาเป็นประกาย

ลู่จื่ออวิ๋นหันกลับไปมองลู่ฉาวอวี่

“เหตุใดเจ้าต้องมองเขา? ข้าไม่ได้เชิญชวนผู้อื่น เพียงแค่เชิญพวกเจ้าไม่กี่คน ยังมีใต้เท้าลู่กับฮูหยินลู่ด้วย หรือพวกเจ้าจะไม่เห็นแก่หน้าข้าเลยหรือ?” ฟ่านเหยี่ยนเอ่ย

“นี่ไม่เหมาะสม” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยนิ่ง ๆ “หากพระนางกุ้ยเฟยรู้เข้าจะต้องไม่พอใจเป็นแน่”

“ข้าเพียงแค่เชิญคนที่ตนเองชอบมา มีอะไรให้ไม่พอใจ?” ฟ่านเหยี่ยนไม่เห็นด้วย “อย่างมากข้าก็เชิญอีกหลาย ๆ คนมางานฉลองจวนใหม่ในภายหลัง นางอยากให้ข้าเชิญผู้ใดข้าก็เชิญผู้นั้น”

รถม้าเคลื่อนมาถึงจวนลู่แล้ว ฟ่านเหยี่ยนเองก็อยากลงจากรถม้าไปหาของอร่อยทานเช่นกัน ทว่าลู่ฉาวอวี่ปฏิเสธเขาอย่างสุภาพ

ฟ่านเหยี่ยนไม่ค่อยยินดีนัก แต่เขาทราบดีว่านี่ไม่ใช่เมืองฮู่เป่ย สถานะของเขาจะนำปัญหามาให้สกุลลู่โดยไม่จำเป็น จึงได้แต่จากไปอย่างหงอยเหงา

วันถัดมา เมื่อลู่จื่ออวิ๋นมาถึงหอซือเป่าก็เห็นทุกคนมองมาที่นางด้วยสายตาแปลกประหลาด

หยางเจิงจับแขนนางไว้ แล้วลดเสียงลงเพื่อกระซิบ “คุณชายสองท่านที่มาเมื่อวานคือผู้ใดหรือ?”

“คนหนึ่งเป็นพี่ชายข้า อีกคนหนึ่งเป็นสหายร่วมเรียนพี่ชายข้า” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “เขาเพียงมีอารมณ์ขันเล็กน้อย อย่าได้ถือสา”

“คนที่หน้าตาคล้ายคลึงเจ้ามากผู้นั้นเป็นพี่ชายเจ้าใช่หรือไม่?” หยางเจิงเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “พวกเจ้าพี่ชายน้องสาวเติบโตมาอย่างไรกัน? เหตุใดถึงได้หน้าตาดีนัก?”

“อืม… บางทีอาจเป็นเพราะท่านพ่อท่านแม่ข้าหน้าตาดีกระมัง?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยอย่างขบขัน

“ข้าไม่เคยพบท่านพ่อของเจ้า แต่ท่านแม่ของเจ้าอ่อนโยนและหน้าตางดงามมากจริง ๆ” สายตาของหยางเจิงเต็มไปด้วยความอิจฉา

“อ่อนโยน…” ลู่จื่ออวิ๋นนึกถึงมู่ซืออวี่ยามเกรี้ยวกราดแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

“คนบางคนบอบบางถึงเพียงนี้ ทำนู่นก็ไม่ได้ทำนี่ก็ไม่ได้ เช่นนั้น เหตุใดไม่อยู่กับห้องกับหอของตนเป็นบุตรสาวผู้มั่งมีเล่า ไยต้องออกมาแย่งงานกับพวกเรา?” ฮวาหรงเดินเข้ามา

ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยเสียงเรียบ “บางทีอาจเป็นเพราะ… นางยินดี”

“เจ้า…” ฮวาหรงถลึงตามองลู่จื่ออวิ๋น

“คนบางคนฝีมือไม่สู้ผู้อื่นเขา กลับไม่คิดจะฝึกฝน รู้แต่เพียงต้องแทงข้างหลังผู้อื่นอย่างไร ถึงแม้คนเช่นนี้จะได้รับโอกาสสักร้อยปี ชั่วชีวิตนี้ก็คงเป็นได้เท่านี้”

“ลู่จื่ออวิ๋น!…”

“พี่หญิงฮวาหรง มีอะไรหรือ? โอ๊ะ ข้าไม่ได้เอ่ยถึงท่าน ท่านแก่กว่าข้าห้าหกปี ทว่าแม้แต่เย็บปักถักร้อยยังทำได้ไม่ดี แต่ข้าไม่หัวเราะเยาะท่านหรอก จริง ๆ นะ…”

“ขนาดเช้าตรู่ก็เห็นพวกเจ้าคึกคักเช่นนี้แล้ว ทำให้ข้ารู้สึกเยาว์วัยลงไปยี่สิบปีเชียว” หญิงชราที่ดูใจดีผู้หนึ่งเดินเข้ามา

คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นท่านเจ้าหอ หรือผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดในที่แห่งนี้

ท่านเจ้าหอมองลู่จื่ออวิ๋นแล้วเอ่ยว่า “ได้ยินมานานแล้วว่าที่แห่งนี้ของเรามีแม่นางน้อยเฉลียวฉลาดผู้หนึ่ง คงเป็นเจ้ากระมัง!”

“อาจารย์ นางเป็นลูกศิษย์ของฟ่านอวี๋เจ้าค่ะ” ซ่งกูกูเอ่ยขึ้น

“มิน่าเล่า” สวีซื่อพยักหน้า

หลังจากสวีซื่อไปแล้ว หยางเจิงจึงลูบอก แล้วเอ่ยอย่างตระหนก “ข้ามาอยู่ที่หอซือเป่านานเพียงนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้อยู่ใกล้ท่านเจ้าหอเพียงนี้ จื่ออวิ๋น ท่านเจ้าหอมองเห็นเจ้าแล้ว ได้ยินว่าทักษะฝีมือของท่านเจ้าหอล้ำเลิศยิ่ง แม้กระทั่งนางกำนัลในพระราชวังยังเป็นลูกศิษย์ของนาง หากนาง…”

“อย่าได้ฝันหวานนักเลย ลูกศิษย์ของท่านเจ้าหอเป็นได้ง่ายนักหรือ?”

“เพียงแค่คิดก็ไม่ได้หรือไร?” หยางเจิงพึมพำเบา ๆ

“ไปทำงานกันเถอะ!” ลู่จื่ออวิ๋นส่งยิ้มให้หยางเจิง “เรื่องภายหน้าค่อยว่ากันเถิด ไม่ว่าตอนนี้เราจะพูดมากเพียงใดก็เป็นแค่เพียงคำพูดเลื่อนลอย”

ฮวาหรงออกไปก่อน จากนั้นจึงกลับมาด้วยดวงตาแดงก่ำ ถึงแม้นางจะพยายามหลบซ่อนให้ได้มากที่สุดก็ยังคงถูกผู้อื่นเห็นได้ง่าย ๆ

หลายวันถัดมา ฮวาหรงถูกส่งออกไป ทว่าผลลัพธ์ในวันนั้นย่อมไม่ดีนัก

กระทั่งอีกสองสามวันถัดมา ฮวาหรงก็กลับมาที่หอซือเป่าด้วยความโมโห หลังจากนั้นนางก็รั้งอยู่ข้างกายท่านเจ้าหอสวี และไม่เคยออกไปอีกเลย

“ข้าได้ยินว่า…..ศิษย์พี่หญิงฮวาได้รับความลำบากแล้ว”

เซี่ยเฉิงจิ่นขมวดคิ้วเป็นปม ทว่ายังคงตามไป

ลู่จื่ออวิ๋นได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา นางจึงเงยหน้าขึ้น

เมื่อเห็นเซี่ยชิงโจว ความตระหนกก็ปรากฏในแววตานางแวบหนึ่ง

“เจ้าชอบม้าตัวนี้หรือ?” เซี่ยชิงโจวมองลู่จื่ออวิ๋นด้วยรอยยิ้ม “มันตัวเล็กเกินไป ขี่ไม่ได้ สนามม้านี่เป็นของข้า หากเจ้าชอบตัวอื่นก็ลองขี่ดูสิ”

“ของท่านหรือ?” ครานี้เองลู่จื่ออวิ๋นจึงมองเซี่ยชิงโจว

เซี่ยชิงโจวยกยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยว่า “ใช่แล้ว เป็นของตระกูลข้า”

“เช่นนั้นม้าตัวนี้ก็เป็นของ…”

“ม้าตัวนี้ไม่ใช่…” เซี่ยชิงโจวรู้สึกว่ามีคนตามมาด้านหลังจึงหันกลับไปมอง เขาชี้ไปยังคนผู้นั้นแล้วเอ่ยว่า “ม้าตัวนี้เป็นของเขา ข้าเพียงแค่ช่วยเขาเลี้ยงมันชั่วคราว”

ลู่จื่ออวิ๋นชอบม้าตัวนี้ตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นนางจึงมาที่นี่ในวันหยุดเพื่อดูมัน นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับเจ้าของม้า

อีกทั้งยังเคยพบเจ้าของม้าคนนี้มาแล้วด้วย เขาคือคนเดียวกับผู้ที่นางมาส่งชุดขี่ม้าครั้งก่อน

“ข้าเห็นว่าม้าตัวนี้น่ารักยิ่ง จึงป้อนของหวานให้มันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของก่อน เสียมารยาทแล้วจริง ๆ”

“ไม่เป็นไร อย่างไรเสียข้าก็ไม่มีเวลาดูแลมัน” สิ้นคำนั้น เซี่ยเฉิงจิ่นก็หันกลับไปมองเซี่ยชิงโจว “ยังไม่ไปอีก?”

“ไปแล้ว ไปประเดี๋ยวนี้” เซี่ยชิงโจวเดินตามหลังเซี่ยเฉิงจิ่นไป

ลู่จื่ออวิ๋นมองตามแผ่นหลังของเซี่ยเฉิงจิ่น แล้วเอ่ยกับม้าสีชาด “เจ้าของเจ้าดูดุร้าย ทว่าอันที่จริงแล้วคุยด้วยง่ายทีเดียว”

ไม่นานนัก เซี่ยเฉิงจิ่นก็เปลี่ยนไปสวมชุดขี่ม้า เขาควบขี่อยู่บนหลังม้า ง้างคันศร แล้วยิงธนูออกไป

ลู่จื่ออวิ๋นเดิมทีกำลังจะกลับ ทว่าเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของเขาก็อดที่จะมองดูอยู่พักหนึ่งไม่ได้

“เก่งกาจยิ่งนัก”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย