ลู่จื่ออวิ๋นมองท้องฟ้าแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าต้องกลับแล้ว”
“อืม” เซี่ยเฉิงจิ่นลูบหัวม้าเบา ๆ
ม้าตัวนั้นย่อตัวลงอย่างเฉลียวฉลาด
ลู่จื่ออวิ๋นมองอย่างตกตะลึง “มันรู้ความยิ่งนัก”
“ม้าดีเป็นดั่งสหาย หากเจ้าปฏิบัติต่อมันอย่างจริงใจ มันก็จะเข้าใจความคิดของเจ้า” เซี่ยเฉิงจิ่นลูบลงไปบนแผงคอม้า แววตาที่ปกติมักเย็นชาคู่นั้นอ่อนโยนลง
“วันนี้ขอบคุณท่านมาก” ลู่จื่ออวิ๋นลงจากหลังม้า “เช่นนั้นข้าต้องขอตัวแล้ว”
ลู่จื่ออวิ๋นมาโดยรถม้า แน่นอนว่านางต้องกลับโดยรถม้า แต่ทันทีที่นางขึ้นรถม้าไป จู่ ๆ รถพลันโยกไหว จากนั้นเซี่ยเฉิงจิ่นก็เข้ามาข้างใน
“ไปส่งข้า”
“หืม?”
“มีคนขับรถม้าข้าไปแล้ว” เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ น้ำเสียงของเซี่ยเฉิงจิ่นพลันจริงจังขึ้นมา ดูอึดอัดเป็นอย่างมาก
ทว่าลู่จื่ออวิ๋นรู้ว่าเขาไม่ได้โกรธ เพราะคนที่โกรธจริง ๆ คงไม่มีอารมณ์ซับซ้อนมากมายเพียงนี้
“เจ้าค่ะ”
ทั้งสองคนนั่งเงียบไปตลอดทาง
เมื่อครู่นี้เซี่ยเฉิงจิ่นสอนวิธีขี่ม้าให้นาง ทั้งยังบอกเรื่องที่จำเป็นในการขี่ม้า ไม่มีถ้อยคำที่ไร้ความจำเป็นแม้แต่คำเดียว
ลู่จื่ออวิ๋นค่อนข้างสับสนกับความคิดของท่านซื่อจื่อผู้นี้
พวกเขานับได้ว่า… เป็นสหายกระมัง?
เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว เซี่ยเฉิงจิ่นกระโดดลงจากรถม้าโดยไม่แม้แต่เอ่ยคำลา ผู้ติดตามของเขาที่นั่งอยู่ข้างนอกรถม้าก็กระโดดลงไปเช่นกัน
ลู่จื่ออวิ๋นเปิดม่านออก มองนายบ่าวทั้งสองคนหายลับไปในฝูงชน
“แปลกคนจริง ๆ”
ชั่วขณะหนึ่งเขาเย็นชา แต่ชั่วขณะหนึ่งเขาดูอัธยาศัยดี เหตุใดบนโลกนี้จึงมีคนขัดแย้งในตนเองได้ถึงเพียงนี้เล่า?
มองไม่ออกเลย
“ข้าไม่กลับบ้าน” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยกับคนขับรถม้า “รู้หรือไม่ว่าจวนเจี่ยไปอย่างไร? ข้าจะไปจวนเจี่ย”
เจี่ยหลิงหลงเรียนเย็บปักถักร้อยอยู่ที่บ้าน นางฝึกฝนหนักกระทั่งว่าสิบนิ้วของนางเหลือเพียงสองนิ้วที่เลือดยังไม่ออก นิ้วอื่น ๆ ล้วนบวมแดงทั้งสิ้น ดูน่าอดสูเป็นอย่างยิ่ง
บ่าวรับแจ้งว่าคุณหนูสกุลลู่มาหา นางชะงักงันไปชั่วขณะก่อนที่จะตระหนักได้ว่าลู่จื่ออวิ๋นมาหาที่นี่ อย่างไรเสียนางก็ไม่รู้จักคุณหนูสกุลลู่คนอื่น
“ท่านแม่ เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์มาแล้ว” เดิมทีเจี่ยหลิงหลงเรียกอีกฝ่ายว่า ‘จื่ออวิ๋น’ ทว่าเมื่อได้ยินมู่ซืออวี่เรียกลู่จื่ออวิ๋นเช่นนั้น นางจึงเรียกตาม
ฮูหยินเจี่ยจะไม่เข้าใจความคิดของบุตรสาวได้อย่างไร?
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์เก่งเรื่องเย็บปักถัดร้อย เชิญนางมาให้คำแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ กับเจ้าที่นี่เถิด เจ้าปักผ้าเช่นนี้น่าละอายเพียงใดที่ได้เป็นสหายกับนาง”
“ท่านแม่ มิใช่ว่าต้องเป็นคนสองคนที่เหมือนกันมิมีผิดเพี้ยนจึงจะเป็นสหายที่ดีต่อกันได้เสียหน่อย นอกจากนี้ หากข้าคิดจะเหมือนกับเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์เพียงนั้น คงต้องให้สวรรค์รับปากเสียก่อน!”
ลู่จื่ออวิ๋นเข้ามาแล้ว นางได้ยินคำพูดนี้ของเจี่ยหลิงหลงเข้าพอดี
“รับปากอันใดหรือ?”
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าดูมือข้าสิ…” เจี่ยหลิงหลงยื่นมือสองข้างที่บวมตุ่ยราวกับขาหมูออกไปเพื่อร้องขอความเห็นใจ “ท่านแม่ข้ายืนกรานว่าต้องให้ข้าเรียนรู้การงานของสตรี”
ฮูหยินเจี่ยถอนหายใจอยู่ข้าง ๆ “งานของสตรีเป็นสิ่งที่เจ้าควรเรียนรู้เอาไว้ เจ้าคิดว่าข้ายินดีฟังเจ้าโอดครวญอยู่ตรงนี้หรือ?”
“ทุกทักษะล้วนมีผู้เชี่ยวชาญ ทว่ามิใช่แม่นางทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้งานของสตรี หากหลิงหลงไม่ถนัด ภายหน้าเพียงแค่เตรียมสาวใช้ที่ถนัดไว้ให้นางก็พอแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว
“ถูกต้อง ข้าหมายความเช่นนั้น” เจี่ยหลิงหลงมองฮูหยินเจี่ยอย่างอ้อนวอน “ท่านแม่ ข้าไม่ถนัดจริง ๆ”
“เอาละ ข้าไม่บังคับเจ้าแล้ว” ฮูหยินเจี่ยยอมประนีประนอม “เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้ามาบ้านพวกเรา ให้หลิงหลงพาเจ้าเที่ยวชมรอบ ๆ เถอะ”
“เจ้าได้ยินไม่ผิด เป็นข้าที่ทำเอง” ลู่ฉาวอวี่มองนาง “หลังจากได้ยินเจ้าบอกว่านางรังแกเจ้าอย่างไร ขณะที่เจ้าหลับไป ข้าก็ไปที่เรือนทรุดโทรมหลังนั้นแล้วมอบเรื่องสนุกยิ่งกว่าให้นาง”
“เรื่องสนุกอะไร?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถาม
“ข้าให้คนหลายคนปลอมตัวเป็นผีไปหลอกให้นางกลัว อีกทั้งยังร่ายเรื่องต่ำตมที่นางเคยทำตลอดหลายปีมานี้ให้ฟัง ขู่นางว่าจะดึงลิ้นนางออกมา แล้วโยนนางลงไปทอดในกระทะ”
ลู่จื่ออวิ๋น “…”
“ฮวาหรงผู้นั้นไม่ใช่คนดีอะไร ก่อนที่จะเข้ามาในหอซือเป่า มือของนางก็เปื้อนเลือดแล้ว หลังจากนางเข้าหอซือเป่า ก็มีหลายคนที่ถูกนางฆ่าอย่างเลือดเย็น หากเจ้าไม่ใช่บุตรสาวตระกูลขุนนาง เกรงว่านางคงไม่เพียงขู่ให้เจ้ากลัว”
“ข้ารู้ว่านางไม่ใช่คนดีอันใด” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยขึ้น “ท่านรอข้าอยู่ที่นี่เพราะเกรงว่าข้าจะรู้สึกผิดอย่างนั้นหรือ? ทว่าท่านพี่ ข้าอาจไม่ได้ใจดีอย่างที่ท่านคิด หลังจากได้ยินว่านางบ้าไปแล้ว ข้าตั้งตัวไม่ทันเล็กน้อยอยู่บ้างจริง ๆ ทว่าไม่นานข้าก็ไปจดจ่ออยู่กับเรื่องอื่น นางรังแกข้า ข้าย่อมไม่รู้สึกสงสารนาง ข้าจึงไม่สนใจแม้แต่น้อย”
ลู่ฉาวอวี่ลูบหัวลู่จื่ออวิ๋นเบา ๆ “เช่นนั้นก็ดีแล้ว เจ้ารีบไปนอนพักผ่อนเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
“ยังมีอีกเรื่อง อาจารย์หญิงของเจ้ากลับมาจากเยี่ยมญาติแล้ว นางบอกว่าเจ้ายุ่งเพียงนี้ ดังนั้นนางจึงตั้งใจจะสอนพิเศษเพิ่มให้เจ้าในตอนเย็น” ลู่ฉาวอวี่กล่าว “ท่านแม่เห็นด้วยแล้ว”
“ได้เจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นไม่ปฏิเสธการจัดการดังกล่าวแม้แต่น้อย
นอกจากเย็บปักถักร้อยแล้ว นางยังสนใจในสิ่งอื่น ๆ อีกมากมาย อย่างเช่นการวาดภาพ การเขียนอักษรภาพ ทักษะการดีดฉิน และการร่ายรำ
ท่านแม่ของนางใช้เงินเป็นจำนวนมากเพื่อเลือกสรรอาจารย์หญิงผู้รอบรู้ให้กับนาง เมื่อได้เรียนรู้จากเหล่าอาจารย์ นางรู้สึกว่าทุกสิ่งล้วนน่าสนใจ
ลู่ฉาวอวี่มองดูลู่จื่ออวิ๋นกลับไปที่ห้องแล้วจึงเดินกลับไปยังห้องของตน
เขาไม่ได้สนใจว่าคนที่ชื่อฮวาหรงผู้นั้นจะเป็นบ้าหรือจะตายตก เขาเพียงแค่ไม่อยากให้เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ตกใจ และยิ่งไม่อยากทำให้นางรู้สึกผิดก็เท่านั้น
สิ่งที่เขาไม่ได้บอกนางคือเขาจงใจทำให้ฮวาหรงเป็นบ้า
จุดประสงค์ของเขาไม่ใช่เพียงทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัว
เขามีบ่าวรับใช้ที่เก่งกาจเรื่องการล่อลวงจิตผู้คน อีกทั้งยังรู้วิธีร่ายมนต์วาดคาถาในตำนาน เพียงแค่ทำให้สตรีที่กล้ารังแกเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ผู้นั้นเป็นบ้า นับว่าเป็นการลงโทษที่เบาที่สุดแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย
รออ่านบทต่อไปนานแล้ว...
กำลังสนุกเลยค่ะ ขอบคุณแอดที่ลงให้อ่านนะคะ แต่ถ้าลงวันละ 10 ตอนจะดีมากเลยค่ะ รออ่านอยู่นะคะ...
รออ่านบทต่อไปค่ะ...