ขณะนี้หมู่บ้านตระกูลลู่อยู่ในช่วงฤดูแห่งการเก็บเกี่ยวผลผลิต ผู้คนมากมายที่ทำไร่นาต่างมารวมตัวและพูดคุยกัน
บรรดาเด็กเล็กวิ่งเล่นใต้ต้นไม้ สมาชิกในครอบครัวตะโกนร้องห้ามเป็นระยะ ทว่าพวกเขาซนเกินกว่าจะห้ามปรามได้ อย่างไรก็ตาม การตักเตือนก็ย่อมดีกว่าไม่เอ่ยสิ่งใดเลย
เด็กไม่เคยล้มจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ็บปวด? แน่นอนว่าพวกเขาต้องเผชิญกับความเจ็บปวดเพื่อเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่
พวกเขาสนทนากันถึงเรื่องวันแต่งงานของลู่ต้าจู้ ขณะที่มู่ซืออวี่และถงซื่อเดินกลับมาพร้อมลูกทั้งสอง
มู่ซืออวี่เหนื่อยหอบจนแทบหายใจไม่ออก ถงซื่อเองก็หอบหิ้วห่อผ้าเล็กใหญ่มาด้วย
“ป้าเจียง ดูลูกสะใภ้ของท่านสิ อยู่กับลูกสาวแล้วดูชีวิตดี๊ดี สมัยที่แต่งงานใหม่ ๆ นางไม่มีแม้เสื้อผ้าสวยงามจะสวมใส่ แต่ดูตอนนี้เถิด…”
จงซื่อกล่าวยุยงแม่เฒ่าเจียงราวกับกลัวว่าโลกนี้จะสงบสุข
“ลูกสะใภ้อะไรกัน? คนเช่นนี้ไม่มีผู้ใดต้องการหรอก” แม่เฒ่าเจียงกล่าวด้วยความโกรธ “เจ้าคิดว่าดีหรือ? นั่นไม่ใช่ของดีสักหน่อย ลูกชายคนโตของข้าเดินทางไปทำงานในเมือง เขาย่อมเอาของดีกลับมาเป็นเกียรติยศให้ข้าแน่”
เมื่อกล่าวถึงลูกชายคนโต สีหน้าของแม่เฒ่าเจียงก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
ทว่าความภาคภูมิใจนั้นพลันหายไปเมื่อได้เห็นสีหน้าของถงซื่อ
“แค่เห็นหน้าทุกข์ระทมของนางก็ทำให้ข้าโกรธแล้ว นางควรหย่าไปตั้งนานแล้ว การจากไปของนางทำให้ครอบครัวเราดีขึ้น เห็นหรือไม่ว่าทันทีที่นางจากไป ลูกชายคนโตของข้าก็ได้กลายเป็นเจ้านาย ส่วนเจียวเอ๋อร์ก็ได้กลายเป็นสาวใช้ของตระกูลร่ำรวย ลูกคนที่สามของเราก็กำลังได้ดิบได้ดีในตระกูลหวัง ทั้งยังเป็นที่ชื่นชอบของนายน้อยแห่งตระกูลหวังอีกด้วย”
แม่เฒ่าเจียงพอใจมาก แต่หญิงสาวชาวบ้านที่อยู่ข้างนางกลับอิจฉาริษยาถงซื่อ นั่นเป็นสิ่งที่นางไม่ปรารถนาจะได้ยิน
“แล้วลูกคนที่สองของเจ้าเล่า? หากไม่มีภรรยาก็ไม่มีทายาทสืบสกุล เจ้าบอกว่าได้หาหญิงงามที่เหมาะสมไว้ให้เขาแล้วไม่ใช่หรือ? จะจัดงานแต่งงานให้กับเขาเมื่อใดเล่า?”
แม่เฒ่าเจียงกล่าวอย่างเฉยเมย “เหตุใดเจ้าจึงรีบร้อนนัก? ข้าต้องหาผู้ที่เหมาะสมที่สุด อีกทั้งเขายังมีอายุมากแล้ว หากไม่ได้แต่งงานก็ไม่จำเป็นต้องแต่ง ต่อให้เขามีลูกยามแก่ชราจนกระทั่งจดจำลูกหลานของตนไม่ได้ แต่ทายาทเหล่านั้นก็ยังถือเป็นผู้สืบสันดานไม่ใช่หรือ?”
ชาวบ้านผู้นั้นเผยสีหน้า ‘สงสัย’ ในทันที
มู่ต้าซานน่าจะยังจินตนาการว่าแม่ของเขาจะให้แต่งงานกับลูกสะใภ้ที่มีอายุน้อยและงดงาม แต่น่าเสียดายที่นั่นอาจเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน
แม้ว่าแม่เฒ่าเจียงจะมีเงินทองมากมายและยินดีจ่าย แต่แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องยากที่จะมีหญิงงามคนใดเต็มใจแต่งงานกับชายอายุมาก อีกทั้งเรื่องที่แม่เฒ่าเจียงทรมานลูกสะใภ้ยังแพร่สะพัดไปทั่ว มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะยินดีแต่งงานเข้าไปในครอบครัวนี้
“ภรรยาลู่อี้! พวกเจ้าเพิ่งกลับมาจากเมืองอย่างนั้นหรือ?”
เสียงตะโกนของบุคคลหนึ่งถามมู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว”
“วันนี้ไม่ใช่วันที่มีตลาดนัด เจ้าเข้าไปทำสิ่งใดในเมืองหรือ? ภรรยาลู่อี้ สามีของเจ้าล่าสัตว์เพื่อหาเลี้ยงชีพ อีกทั้งยังต้องหาเงินมาเพื่อจ่ายค่ารักษาให้กับลู่เซวียน เจ้าควรช่วยเขามัธยัสถ์ อย่าใช้เงินฟุ่มเฟือยนักเลย”
มู่ซืออวี่ไม่อาจรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายจริงใจหรือเสแสร้ง แต่นางกล่าวด้วยรอยยิ้มโดยที่ไม่มองหน้าบุคคลนั้นเลย “ขออย่าเป็นกังวล ข้าจัดสรรทุกอย่างได้ด้วยตนเองเป็นอย่างดี และตอนนี้ข้ามีธุระที่ต้องจัดการ ขอตัวก่อนนะ”
แม่เฒ่าเจียงที่บังเอิญได้ยินประโยคเหล่านั้นด้วยก็ตะคอกอย่างเย็นชา
ถงซื่อสั่นสะท้านทันทีโดยสัญชาตญาณ
มู่เจิ้งหานที่ยืนอยู่เบื้องหลังถงซื่อจ้องมองไปยังแม่เฒ่าเจียงด้วยความโกรธเกรี้ยว
สีหน้าของแม่เฒ่าเจียงเต็มไปด้วยความดุดัน นางด่าทอออกมาไม่หยุด “จิ้งจอกตาขาว*[1]! หึ!”
มู่เจิ้งหานราวกับต้องการจะเอ่ยบางสิ่ง ทว่ากลับถูกลู่ฉาวอวี่คว้ามือไว้
“ท่านจะทำอะไร? ยิ่งต่อปากต่อคำกับนางมากเท่าใด นางก็ยิ่งภูมิใจมากเท่านั้น วิธีรับมือที่ดีคือการเพิกเฉยต่างหาก”
“หานเอ๋อร์ เจ้าต้องเรียนรู้จากฉาวอวี่เอาไว้ เด็กชายคนนี้อายุน้อยกว่าเจ้ามาก แต่เขานิ่งเฉย สุขุมดุจดังสัตว์ร้ายเลยล่ะ” มู่ซืออวี่กล่าว “เจ้าเองก็กำลังจะเป็นหนุ่มแล้ว ไม่ควรเคียดแค้นกับเรื่องเพียงเท่านี้”
“ฉาวอวี่ฉลาดมาก” มู่เจิ้งหานกล่าวพลางเกาศีรษะ “ข้าจะเรียนรู้จากฉาวอวี่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย
กำลังสนุกเลยค่ะ ขอบคุณแอดที่ลงให้อ่านนะคะ แต่ถ้าลงวันละ 10 ตอนจะดีมากเลยค่ะ รออ่านอยู่นะคะ...
รออ่านบทต่อไปค่ะ...