แต่ไหนแต่ไรมา ท่านย่าหม่ารู้สึกว่าตัวเองหน้าตาดี
ใครไม่เคยเป็นสาวน้อยบ้าง
จริงๆ นะ เคยมองจากผืนน้ำ
สมัยสาวๆ เวลาไปซักเสื้อผ้าที่ริมแม่น้ำก็จะส่องผิวน้ำ มองตัวเอง
ใบหน้านี้เคยถูกพ่อของลูกหลงหัวปักหัวปำ ก่อนตายยังลูบใบหน้าของนางพลางพูดว่า เขายังอยู่กับนางไม่มากพอ แค่นี้ก็รู้แล้ว
ก็แน่ล่ะ ตาโต จมูกโด่ง ปากเป็นรูปอิงเถา ลูกสาวคนโตของนางก็ได้นางมาทั้งนั้น ใครเห็นเป็นชอบมอง
พอดูอีกที ภาพนี้มันช่างทำร้ายจิตใจนางเหลือเกิน
จริงๆ เลย บนหน้าผากมีรอยย่นสามเส้น ร่องข้างปากสองเส้นเหมือนแม่น้ำสองสาย เปลือกตาหย่อนคล้อย หางตาก็มีแต่รอยตีนกา
ใช้ชีวิต วันๆ ก็ไม่รู้ว่ามีร่องบนหน้าผากก่อน หรือมีแม่น้ำตรงข้างปากก่อน
รู้แค่ว่าสี่ฤดูงานยุ่งเหลือเกิน บดข้าวโม่ข้าว ยังไม่ทันได้คิดอะไรอย่างละเอียดก็กลายสภาพเป็นยายแก่เสียแล้ว นางช่างรีบแก่เสียเหลือเกิน
ยุง แมลงวันตะกายมาบนหน้านาง ทิ้งรอยเท้าเอาไว้ หนักบ้างเบาบ้าง
หลังจากสะใภ้เล็กสกุลสวี่ฟังจบว่าเรื่องอะไร ก็เอ่ยปากห้าม “แม่นางซ่งบอกไว้ว่า เอาให้ดูเป็นสัญลักษณ์เก่าแก่” ทันใดนั้นก็คิดได้ “ไม่แก่จะดูไม่สมจริง บุคลิกไม่ได้ นางบอกมาเป็นพิเศษว่า ขอสมจริง”
เจ้าหลานคนนี้นี่ ท่านย่าหม่าหันไปโบกมือให้สะใภ้เล็กสกุลสวี่กับจิตรกร “ไม่ต้องสมจริงนักหรอก สมจริงกว่านี้ก็ไม่มีคนเข้าร้านแล้ว พวกเจ้าเชื่อข้าเถอะ คำพูดข้าถือเป็นคำตัดสิน เจ้าวาดข้าให้ดูขาวหน่อย ส่วนปากก็เอาแดงๆ หน่อย”
ต่อมาต่างฝ่ายต่างก็ถอยกันคนละก้าว วาดแค่หน้าเหมือน อีกทั้งยังเป็นใบหน้าด้านข้าง เป็นภาพท่านย่าหม่าโพกผ้าสีชมพูหันข้าง
อย่ามองว่าหญิงชราคนนี้แก่แล้ว แต่สายตาเมื่อทอดยาวไปไกลกลับเต็มไปด้วยความหลักแหลมและแน่วแน่
อืม ท่านย่าหม่ากลัวตัวเองเดินเพ่นพ่าน นั่งไม่ติด จิตรกรน่าจะวาดได้ที่แล้ว เช่นนั้นเมื่อไรถึงจะกลับบ้านได้ล่ะ นางยังต้องกลับไปกินยาอีกนะ
นางจงใจเอาเงินจำนวนหนึ่งออกมาวางในที่ที่ตามองเห็น เป็นเงินที่ควักออกมาจากเอวกางเกง
นางกลัวว่าวางไว้จะหาย แบบนี้ต้องคอยจับตาดูก็จะเดินไปไหนไม่ได้แล้ว
ขณะเดียวกัน
ในห้องวาดภาพกำลังยุ่งกันอยู่ ไม่เพียงแต่ต้องวาดภาพขนมหลายชนิด วาดภาพเหมือนท่านย่าหม่า วาดภาพดอกเหมยแดงบานสะพรั่งบนร่มกระดาษไขคันใหญ่ จิตรกรทั้งหกลงมือวาดพร้อมกัน
ซ่งฝูเซิงไม่ใช่แค่ตามพวกพ่อบ้านไปดูทำเลตั้งร้าน วันนี้ยังต้องจ่ายเงิน ไปที่ศาลาว่าการเพื่อทำเรื่องย้ายเข้า วิ่งวุ่นไปๆ กลับๆ ในแต่ละอำเภอ ไปกับพ่อบ้านพวกนี้ก็ทำให้เขาได้รู้จักคนมากขึ้น ยังไม่ต้องพูดอื่นไกล เอาแค่อยู่ข้างหลังพ่อบ้าน พอพวกพ่อบ้านแสดงป้ายคล้องเอว เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ลงทะเบียนย้าย รวมถึงขุนนางใหญ่ พอได้ทราบข่าวก็ออกมาส่งที่หน้าประตูด้วยตัวเอง เกรงอกเกรงใจสุดๆ ทั้งยังเป็นฝ่ายแนะนำตัวเองก่อนด้วย
ณ ถนนเส้นกลางของเมืองเฟิ่งเทียน ร้านขายเครื่องกระเบื้องเดิม วันนี้ประตูก็เปิดออกอีกครั้ง
แรงงานหลายสิบคนแบกหามเข้าออกร้านหลายรอบภายใต้คำสั่งของช่าง
ต้องตกแต่งร้าน อีกทั้งต้องทำโดยเร็วที่สุดด้วย
ลูกน้องคนหนึ่งของช่างได้ถามขึ้น “ปูพื้นไม้ให้หมด ข้าเข้าใจได้ ปูบันไดด้วยก็พอเข้าใจ แต่ทำไมเพดานก็ต้องใช้แผ่นไม้ที่ลงขี้ผึ้งด้วย ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
หัวหน้าของเขามองภาพในมือแล้วอธิบายให้ฟัง “เห็นใต้เพดานไม้นี่ไหม นางวาดโคมแขวนเต็มไปหมด นี่ก็เพื่อแขวนโคมเล็กๆ เยอะๆ ห้อยลงมายังไงล่ะ…
…เมื่อถึงเวลา แผ่นไม้ที่พื้นกับบนเพดานสะท้อนหากัน ตรงกลางมีโคมแขวนอยู่เยอะแยะ แผ่นไม้ที่ลงขี้ผึ้งจะมีเงา ทำให้สว่างกว่าห้องธรรมดาทั่วไป”
หัวหน้างานคนนี้เดาจุดประสงค์ของซ่งฝูหลิงออก
ส่วนของเพดานที่อยู่เหนือตู้โชว์เป็นไม้ที่ลงขี้ผึ้ง ทำเหมือนเพดานต่ำ
จากนั้นก็จะห้อยโคมเล็กๆ ด้านบนเรียงเป็นแถว หรืออาจเป็นตะเกียง เอาเป็นว่าจะมีจำนวนเยอะมาก แบบนี้ก็จะสะท้อนลงมาที่ตู้โชว์ได้แล้ว
รวมถึงตรงเค้าน์เตอร์ที่ออกแบบเป็นแบบนี้ ยังมีอีกหลายจุดที่ก็ออกแบบเช่นนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...