บอกว่าซ่งฝูหลิงมาตรวจงานเป็นครั้งสุดท้าย ไม่สู้บอกว่านางมาเที่ยวเล่น
นางเองก็ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการเป็นงาน
ตอนนางขึ้นไปชั้นบน ดื่มน้ำชา นั่งพิงเก้าอี้ เขียนโน้ตดนตรีแล้วให้คนเอาไปให้นักดนตรี ท่านพ่อกับท่านย่าของนางกลับวุ่นจนหัวหมุน
ท่านย่าของนางกับเหล่าคนให้บริการ ทำความคุ้นเคยสภาพแวดล้อมพลางคิดแบบเดียวกัน กำชับเหมือนกัน
“โคมไฟเยอะเหลือเกิน ต้องคอยตรวจดูให้พร้อมอยู่เสมอ เดินผ่านก็ต้องคอยดู ทำให้ติดเป็นนิสัย…
…มาถึงร้านค่อยจุดไฟ ก่อนออกจากร้านก็ต้องเป่าให้ดับทั้งหมด พวกเจ้าต้องเตือนข้าด้วย”
“ห้องครัวนี้พวกเราห้ามใช้ ในนี้สำหรับแขกใช้ทั้งหมด…
…ตอนพวกเรากินข้าวเที่ยงให้ไปที่ด้านหลัง…
…หลังร้านมีห้องครัวสำหรับต้มน้ำ บ่อน้ำก็อยู่ตรงนั้น พวกเรากินที่นั่น จำไว้ว่าต้องผลัดกันกิน ภายในร้านขาดคนได้แค่คนเดียว”
“พี่เถียน”
“อืม ผู้จัดการ ว่ามาได้เลย”
ถูกต้อง หัวหน้าหม่าถูกเปลี่ยนเป็นผู้จัดการร้านแล้ว ท่านยายเถียนแม่ยาย ก็เปลี่ยนเป็นเรียว่าพี่เถียน
เพราะซ่งฝูหลิงบอกว่า อยู่ข้างนอกอย่าเรียกอะไรที่มันยุ่งยาก
ถึงแม้สมัยโบราณจะชอบเรียกว่า สกุลซ่ง สกุลเถียน สกุลสามี แต่พวกเราที่อยู่ที่นี่ไม่ต้อง และก็ยิ่งไม่ต้องเรียกว่าแม่ยายต่อหน้าคนนอก จะดูไม่มีระเบียบ เหมือนตีสนิท
ท่นยายเถียนกลายเป็นพี่เถียน
สะใภ้ใหญ่เกาถูฟู ให้เรียกว่าเสี่ยวเกา ภรรยาซ่งฝูกุ้ย ให้เรียกว่าเสี่ยวซ่ง สะใภ้เล็กยายหวัง ให้เรียกว่าเสี่ยวหวัง
ทั้งมีแซ่ของสามี ไม่แสดงความไม่เคารพ ทั้งยังเรียกง่ายอีกด้วย
ส่วนท่านย่าหม่าพอกลับไปที่พวกเขา ดูแลทั้งสี่ร้าน ก็ยังคงเป็นหัวหน้า แต่พออยู่ในร้านก็จะต้องเปลี่ยนไปเรียกผู้จัดการร้าน ห้ามเรียกว่าเถ้าแก่อะไรแบบนั้น
“พี่เถียน เวลาหิ้วน้ำเติมน้ำ ต้องระวังให้ดีด้วย หลังจากเติมน้ำเสร็จก็ต้องเอาผ้าเช็ดพื้น ห้ามให้มีคราบน้ำ พื้นที่เหยียบอยู่นี่ลงขี้ผึ้งทั้งนั้น เดี๋ยวลูกค้าลื่นเข้า มันจะไม่งาม”
“ได้ ผู้จัดการ ข้าเข้าใจแล้ว”
“ยังมีอีก พวกผ้าเช็ดพื้นของเจ้าน่ะ ต้องทำให้สะอาด อย่าคิดว่าเช็ดพื้นใช้ผ้าสกปรกก็ได้ไม่เป็นไร ใครเดินผ่านไปผ่านมาเห็นในมือของเจ้ามีผ้าดำปิ๊ดปี๋ จะรู้สึกสะอิดสะเอียน และก็ฉีดผ้าให้หอมๆ ก่อนเช็ดพื้นด้วย ประเดี๋ยวจะมีกลิ่นคาวเหม็นๆ ติดที่พื้น”
“ทราบแล้วผู้จัดการ”
เป็นแบบนี้ เมื่อท่านย่าหม่าเห็นอะไรก็กำชับอันนั้น
เรื่องใหญ่ๆ ก็จะเป็นเช่นว่าจะกันขโมย กันไฟไหม้อย่างไร เรื่องเล็กก็เช่นอยู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า เสี่ยวเกา เสี่ยวซ่ง เสี่ยวหวัง ตัดเล็บที่มือเสียด้วยนะ
เจ้ายกถาด ใส่ถุงมือหยิบขนมก็จริง แต่มันก็ไม่ดีนะ
รายละเอียดเล็กน้อยในทุกด้านก็ต้องใส่ใจใช่ไหมล่ะ
ตอนอยู่หอนางโลม นางเห็นมาว่าที่นั่นให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้มาก แม่เล้าคนนั้นยังพูดอีกว่า ในเมืองเฟิ่งเทียนยิ่งต้องเอาใจใส่
นี่คือท่านย่าหม่า
ซ่งฝูเซิงกับซื่อจ้วงบังคับเกวียนไปที่ด้านหลังร้าน
เอาถังน้ำเล็กใหญ่ลง เอาประทัดสีที่ลูกสาวทำลง มีด้วยกันห้ากระบอก
แค่เรื่องนี้ซ่งฝูเซิงก็ถูกด่าแล้ว เพราะต่อมาเขากับลูกสาวทำด้วยกัน อีกทั้งทำหม้อดินแตกไปอีกหนึ่งใบ
เอาอาหารแห้งลง
ต่อไปช่วงเที่ยงหรือก่อนกลับบ้าน พวกท่านย่าหม่าต้องกินกันที่นี่ นานวันเข้าจะให้ซื้ออย่างเดียวก็ไม่ได้ และก็เป็นไปไม่ได้ที่จะกินแต่ขนมเค้ก
เอาหัวบีบดอกไม้บนขนมที่ทำเองหลากหลายแบบวางไว้ในห้องครัว
บ่าวรับใช้ชายที่มีหน้าที่เฝ้า ‘โรงรถ’ นำทางรถม้าเข้าไปจอด รวมถึงดูแลทำความสะอาดบริเวณร้านได้ยกมือคารวะพลางเรียก “นายท่าน”
“ชื่อต้าเต๋อจื่อใช่ไหม”
“ขอรับ”
ซ่งฝูเซิงรู้เรื่องต้าเต๋อจื่อกับเป่าจูมาจากลูกสาวแล้ว
สองคนนี้เป็นพี่น้องกัน
หากจะบอกว่าพี่น้องคู่นี้มาจากจวนฉี ไม่สู้บอกว่ามาจากจวนลู่
เพราะบิดาของพี่น้องคู่นี้ เมื่อก่อนทำงานอยู่ที่จวนลู่ ตอนออกไปทำงานข้างนอก ม้าเกิดตกใจ ตกม้าหัวกระแทกพื้น เป็นเรื่องใหญ่ และก็เสียชีวิต
มารดาของพี่น้องคู่นี้เดิมทีก็สุขภาพไม่แข็งแรง ต่อมาไม่ถึงสองปีก็เสียชีวิตลง
นี่เป็นเรื่องที่ผ่านมาหลายปีแล้ว ตอนนั้นสองพี่น้องยังเด็กมาก มีญาติมาที่บ้าน รับปากเสียดิบดีว่าจะดูแลอย่างดี ปรากฏว่าญาติเอาทรัพย์สมบัติไปแบ่งกันจนเกลี้ยง
ต้าเต๋อจื่อที่ตอนนั้นยังเด็ก ได้รับบาดเจ็บที่ขาตอนเข้าไปยื้อยุดกับครอบครัวอาแท้ๆ จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
เป็นเป่าจูที่อาศัยความทรงจำในวัยเด็ก วิ่งไปขอความช่วยเหลือที่จวนลู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...