รีสอร์ตพรรณนารา...เวลา 19:40 น.
“ไม่น่าเชื่อนะว่าไอ้ขุนจะไม่มา” แม่ทัพเอ่ยถึงเพื่อนสนิทที่อยู่ๆ ก็หายหน้าหายตาไปอย่างไม่มีสาเหตุ
“นั่นสิ! ไปไหนของมันนะ” ภาคินบอกอย่างสงสัย
“แปลกๆ ว่ะ ไม่ใช่โผล่มาอีกทีมีแฟนเหมือนไอ้ทัพนะเว้ย” จอมพลเอ่ยหยอกอย่างขำๆ
“มึงไปทำอะไรมันหรือเปล่าวะทัพ” ภาคินถามอย่างข้องใจ น้อยครั้งที่ขุนพันจะดราม่าหรือประชดเงียบแบบนี้
“บ้า! กูเนี่ยนะจะทำอะไรไอ้ขุน” แม่ทัพถลึงตาใส่คนที่พยายามจะยัดเยียดข้อกล่าวหาให้กับตน
“กูว่าไอ้ทัพมันน่าจะตบรางวัลให้ไอ้ขุนมากกว่านะคิน” จอมพลออกความเห็นพร้อมกับหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกไปถึงเรื่องวุ่นๆ ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนสนิททั้งสอง ซึ่งต้องบอกว่าคนที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆ นั้น คือแม่ทัพ และไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะหาเรื่องกลั่นแกล้งขุนพันคืนอย่างเด็ดขาด เพราะหายใจเข้า-ออกก็มีแต่ เด็กสาวที่ชื่อช่อเอื้อง ที่ทั้งรักและหลงจนถึงขั้นย้ายฐานบัญชาการไปประจำอยู่ที่เชียงรายเป็นหลัก
“จริง!” แม่ทัพยอมรับอย่างไม่อาย
“อ้าว! แบบนี้ก็แสดงว่ารักหวานชื่นน่ะสิ” ภาคินเอ่ยแซว
“ก็ประมาณนั้น” แม่ทัพตอบก่อนจะยกแก้วบรั่นดีขึ้นจิบแก้เขิน
“โธ่! ใครวะใครกันที่บอกว่าจะจ้างสาวมาท้องลูกให้ มงเมียน่ะไม่เอาหรอก ไม่ชอบผูกมัด น่าเบื่อ น่ารำคาญ หึ! เจอน้องเอื้องเข้าไปเป็นไงล่ะ” ภาคินกล่าวย้อนศรอย่างรู้สึกหมั่นไส้
“ฮ่าๆๆๆ” จอมพลหัวเราะขึ้นอย่างชอบใจ ที่ภาคินเอ่ยประโยคเด็ดของแม่ทัพที่ชอบพูดบ่อยๆ ได้ตรงเป๊ะ!
“มึงนี่ท่องมาหรือไงวะไอ้คิน” แม่ทัพกลอกตา แต่กระนั้นก็ไม่ใส่ใจ เพราะประโยคนั้น ตนพูดออกไปตอนที่ยังไม่ได้เจอกับช่อเอื้อง
“หรือไม่จริง?” ภาคินเลิกคิ้วถามอย่างกวนๆ
“กูได้ข่าวว่ามึงหมกตัวอยู่แต่ในบ้านพักท้ายรีสอร์ตตั้งสองเดือนเลยเหรอทัพ?” จอมพลถามอย่างสงสัย
“เออ! ใช่ มีอะไรหรือเปล่าวะ” คนที่โลกทั้งใบกำลังเป็นสีชมพูตอบด้วยน้ำเสียงกวนๆ
“ฮ่าๆๆ/ฮ่าๆๆ” จอมพลกับภาคินพากันหัวเราะขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าแดงก่ำของเพื่อนซี้ ที่ดูทรงน่าจะเขินหนักเอาการ
“เฮ้อ...ดีนะที่วันนี้ไอ้ขุนไม่มา ไม่งั้นกูหนีกลับจริงๆ ด้วย” แม่ทัพเอ่ยตัดพ้อด้วยสีหน้าเซ็งๆ ที่เพื่อนรักทั้งสองผลัดกันแซะเรื่องของตนไม่ยอมหยุด
“เอาน่า...แหย่นิดแหย่หน่อยทำเป็นหน้างอไปได้เพื่อน” จอมพลรีบปลอบ
“เปลี่ยนเรื่องคุยเลยนะพวกมึง” แม่ทัพบอกด้วยสีหน้าจริงจัง
“อย่าเพิ่งเปลี่ยนสิโว้ย! บอกมาก่อนว่าสรุปแล้วน้องเอื้องรู้จักกับคนที่ไอ้ขุนจ้างไปแกล้งมึงหรือเปล่า?” ภาคินถามเรื่องที่คาใจ
“รู้! น้องเอื้องถูกคนที่ชื่อส้มจ้างมาอีกต่อ โดยให้เงินแค่หนึ่งหมื่นบาท” แม่ทัพบอกพลางถอนหายใจ
“โห...โดนเอาเปรียบไปตั้งสี่หมื่นเลยเหรอวะ” ภาคินบอกอย่างรู้สึกสงสาร
“อืม! เอื้องจะเอาเงินไปซื้อเก้าอี้ไฟฟ้าให้พ่อที่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ พอดีว่าตอนที่กำลังสอบถามหาความอยู่นั้น คนข้างบ้านก็โทรมาบอกว่าพ่อของเอื้องล้ม ให้ตามไปที่โรงพยาบาล พอไปถึงท่านก็เสียแล้ว กูเลยรับเป็นเจ้าภาพจัดงานศพให้ แม่กูก็ไปช่วยทุกคืน” แม่ทัพบอกด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
“สงสารน้องเอื้องจัง” จอมพลบอกพลางถอนหายใจเบาๆ
“นั่นสิ!” ภาคินสมทบตาม
แม่ทัพพยักหน้าก่อนจะเล่าต่อ “กูเพิ่งมารู้ว่าเอื้องน่ะเคยสอบชิงทุนเข้าเรียนฟรีได้ แต่ต้องสละสิทธิ์เพราะห่วงกลัวว่าไม่มีใครจะดูแลพ่อ ซ้ำร้ายกว่านั้น...เคยไปยืนขายข้าวไข่เจียวอยู่ตรงสี่แยกใกล้ๆ บ้าน เพราะจะได้วิ่งมาดูพ่อได้ตอนที่ไม่มีลูกค้า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อุ้มรักซาตานลวง (ซีรีส์ หลอกเด็ก)