ทำไมกู้หมิงจูจะฟังไม่ออกว่าฉู่หลิวเยว่หมายถึงอะไร
นี่มันหมายความว่าฉู่หลิวเยว่ไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตาชัดๆ!
นางโกรธจนต้องหัวเราะประชดประชัน
“ฉู่หลิวเยว่ เจ้าคงไม่ได้กลัวหรอกกระมัง”
ฉู่หลิวเยว่ยักไหล่
“ถ้าเจ้าคิดว่าใช่ก็ใช่”
กู้หมิงจูถึงกับสะอึก คิดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะมีทิฐิสูงเช่นนี้
นางจึงขึ้นเสียงใส่อย่างไม่พอใจ
“แล้วถ้าข้าเพิ่ม ค่ายกลชิงมู่ อีก เจ้าจะตกลงหรือไม่!”
จากนั้นก็เกิดความโกลาหลขึ้นภายในห้อง
ค่ายกลชิงมู่!
นั่นคือค่ายกลที่สุดยอดไม่แพ้ค่ายกลด้ายมังกรเลยทีเดียว!
เพื่ออยากเอาชนะฉู่หลิวเยว่ กู้หมิงจูถึงกับยอมเอาค่ายกลระดับห้าทั้งสองมาวางเป็นเดิมพัน! นี่มันขูดเลือดขูดเนื้อตัวเองชัดๆ!
ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็หันกลับมามองนางด้วยท่าทางเอ้อระเหย
“จริงหรือ”
“คุณหนูรองตระกูลกู้อย่างข้า พูดจริงเสมอ!” กู้หมิงจูเชิดคางขึ้น
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
“ได้!”
นางไม่ใช่คนโง่และอีกฝ่ายก็ยื่นข้อเสนอให้นางเอง แล้วทำไมถึงจะไม่รับล่ะ
เมื่อกู้หมิงจูเห็นว่าฉู่หลิวเยว่ยอมตกลง นางก็กระหยิ่มยิ้มในใจ แต่ก็หัวเราะเยาะและดูถูกปรามาสฉู่หลิวเยว่
“สงสัยที่เจ้าปฏิเสธเมื่อครู่นี้ ก็แค่ดูถูกของเดิมพันน้อยไปเท่านั้นแหละ”
ความหมายแฝงของวาจาดูถูกนี้คือ ฉู่หลิวเยว่ตาลุกวาวเมื่อเห็นเงินก้อนโต
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มจนตาเป็นสระอิ จากนั้นก็ยอมรับไปตามตรง
“เจ้ารู้ไว้ก็ดี ถ้าจะขอคำแนะนำจากใครก็ต้องจริงใจหน่อย”
เพราะฉะนั้น นางจึงไม่อยากเสียเวลากับคนแบบนี้จริงๆ
“นี่เจ้า!”
กู้หมิงจูหัวร้อนขึ้นมาจนเกือบจะเข้าไปทำร้ายฉู่หลิวเยว่แล้ว ฉับพลันนั้นนางก็รู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจ้องนางอยู่
ซึ่งนั่นก็คือซือถิง!
กู้หมิงจูจึงระงับไฟโกรธที่กำลังสุมทรวงแล้วกลับสู่ท่าทางเย็นชาตามปกติของนาง
“เช่นนั้นก็ใช้ค่ายกลสองอันนี้ที่อาจารย์ตงฟังสร้างขึ้นมาในการแข่งขัน ผู้ใดสามารถแก้โจทย์ได้ทั้งหมดก็จะเป็นผู้ชนะ!”
“กู้หมิงจู เจ้าพูดได้ไม่อายปากสักหน่อยหรือ เจ้านั่งแก้โจทย์มาเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว แต่ฉู่หลิวเยว่เพิ่งมาถึง นี่เจ้าคิดที่จะกลั่นแกล้งกันอย่างนั้นหรือ!”
ซือหยางทนดูต่อไปไม่ไหวก็เลยท้วงขึ้นมา
กู้หมิงจูเหลือบมองฉู่หลิวเยว่แล้วแสยะยิ้มอย่างเย็นชา
“การแก้ค่ายกลต้องใช้เวลาหลายชั่วยาม บางครั้งเวลาแค่วันเดียวก็ไม่สามารถแก้ได้ ฉู่หลิวเยว่มาสายด้วยเหตุผลส่วนตัว แล้วจะโทษข้าได้อย่างไร แม้ก่อนหน้านี้นางจะสอบได้ที่สอง แต่เจ้าก็คงไม่เอาเปรียบแม้กระทั่งเรื่องเวลาหรอกกระมัง ฉู่หลิวเยว่ เจ้าว่าไง”
ฉู่หลิวเยว่โบกมืออย่างไม่ถือสา
“อ่อนให้เจ้าก็แล้วกัน”
ท่าทางไม่ยี่หระของนางยิ่งทำให้กู้หมิงจูหงุดหงิด
“เริ่มกันเถอะ!”
หลังจากที่นางพูดจบก็ก้มศีรษะลงและเริ่มจดจ่อกับการศึกษาค่ายกลบนกระดานหมากรุกที่อยู่ตรงหน้านางอีกครั้ง
คราวนี้นางจะต้องเอาชนะให้ได้แน่นอน!
ฉู่หลิวเยว่ถอนสายตากลับมาแล้วจ้องหน้าซือถิง
นางจ้องเสียจนซือถิงรู้สึกประหม่าแปลกๆ
ฉู่หลิวเยว่แสยะยิ้มมุมปาก
เห็นได้ชัดว่าซือถิงเป็นต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายในคราวนี้
กลับเห็นแก่ที่ซือถิงช่วยเหลือนางก่อนหน้านี้ นางเองก็ไม่อยากถือสาให้มากความ
ซือถิงเป็นฝ่ายหลบสายตาก่อน
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วแล้วก้มหน้ามองค่ายกลบนกระดานหมากตรงหน้าตรงเอง
…
ห้องทรงอักษร ณ พระราชวัง
จักรพรรดิจยาเหวินที่เอนหลังพิงเก้าอี้มองหรงจิ้นที่ยืนก้มหน้าอยู่ตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“เจิ้น[1]จะพูดเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้าย เรื่องนี้ก็ให้มันแล้วไป ไม่ว่าใครก็ตาม เจิ้นไม่อนุญาตให้หาคนมารับผิดชอบอีก”
เสียงทุ้มหนักแน่นดังขึ้นในห้องทรงอักษร ซึ่งแสดงถึงศักดิ์ศรีและอำนาจยิ่งใหญ่ของผู้เป็นประมุข
มือของหรงจิ้นในแขนเสื้อกำหมัดแน่น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์