“เช่นนั้นศิษย์ขอตัวลาขอรับ”
ฉู่หลิวเยว่โค้งคำนับด้วยความเคารพ และกล่าวคำอำลา
และเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
ครั้นแผ่นหลังของเด็กหนุ่มหายไปจากครรลองสายตา เหล่าผู้อาวุโสทั้งสามก็หันมามองหน้ากันอย่างอิหลักอิเหลื่อ
“ปั๋วเหยี่ยน ข้าว่าเจ้าทำเช่นนี้ดูไม่เหมาะสมเท่าใดกระมัง”
ซั่งอวี้เซินแตะปลายคางของตนราวเพ่งพินิจ
“หากกลับไปแล้วเด็กนั่นเกิดหวาดระแวงคิดไม่ตกจักทำอย่างใดหา?”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ
“เขาไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นเสียหน่อย”
“แต่เจ้าก็ไม่ควรตัดสินเขาหากยังไม่รู้ชัด”
ซั่งอวี้เซินหน้าบึ้งตึงมากขึ้นกว่าเดิม
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนแอบสะดุ้ง แล้วส่ายหัวพัลวัน
“เรื่องนี้ข้าผิดเอง”
“อันที่จริงจะโทษปั๋วเหยี่ยนคนเดียวเสียหมดก็มิได้ อวี้เซิน เจ้าอาจจะไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ตาน้ำพุนั่นไร้การเคลื่อนไหวมาพักหนึ่งแล้ว ปั๋วเหยี่ยนกับข้าสังเกตท่าทีของมันอยู่นาน ถึงได้ตัดสินใจเรียกพบฉู่เยว่เช่นนั้น แต่ใครจะรู้ว่าพอเขามาถึง มันกลับ…”
ผู้อาวุโสโอวหยางหน้านิ่วคิ้วขมวด ราวหาคำตอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้
“ไม่แน่ว่า มันอาจจะเป็นผลกะทบจากตอนที่ฉู่เยว่หลอมวิญญาณให้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็ได้? ทว่ายามนี้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะปกติแล้ว เช่นนั้นพวกเจ้าก็เลิกกังวลได้แล้ว”
แม้ซั่งอวี้เซินจะไม่ได้กลับมาที่นี่พักหนึ่ง แต่เขาก็เชื่อว่าโอวหยางพูดความจริง
และพอมาคิดๆ ดูแล้ว ก็เป็นพวกเขาเองที่คิดมากไปจนถึงขั้นวิตกจริต
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนลูบเคราของตนไปมา และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ
“ถ้าก่อนหน้านี้เด็กนั่นมิได้ก่อนเรื่อง ข้าคงไม่…”
ซั่งอวี้เซินสะอึกเบาๆ แต่ก็เข้าใจเหตุผลของเขา
“อย่างใดเสีย ปัญหาทุกอย่างก็คลี่คลายแล้ว พวกเจ้าเองก็ไม่ต้องเป็นกังวลอีก แต่ถ้ายังเป็นห่วง อีกสองสามวันก็ค่อยขึ้นดูใหม่แล้วกัน”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนพยักหน้ารับคำ
“เช่นนั้นก็รอจนกว่าเราจะไปบุพกาลชายแดนเหนือ!”
“เจ้าเองก็ไปด้วยหรือ?”
ซั่งอวี้เซินรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“เจ้ามิได้อยู่เฝ้าสำนักหรอกหรือ?”
ในระหว่างที่เจ้าสำนักออกบำเพ็ญเพียร ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนได้รับหน้าที่ให้รักษาการแทนเขา และดูแลรับผิดชอบทุกเรื่องในสำนักวิชามาโดยตลอด
ถึงจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น เขาก็จะส่งผู้อาวุโสคนอื่นๆ ออกไปแทน
ทว่าคราวนี้ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนกลับขอนำทุกคนออกไปด้วยตัวเอง ซึ่งน่าประหลาดใจโดยแท้
“เดิมพันนี้สูงนัก ทุกคนต่างพร้อมแก่งแย่งชิงดี ข้าไปด้วยจะปลอดภัยกว่า และอีกอย่าง…”
เรียวคิ้วของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน เริ่มขมวดขดเข้าหากันทีละน้อย
“การไปที่นั่นในครานี้ อาจทำให้เราได้เบาะแสของเจ้าสำนักก็ได้…”
…
ฉู่หลิวเยว่กลับไปยังจัตุรัสชิงหมิงอีกครั้ง
ทุกคนล้วนหันมามองนางด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้
ทว่าฉู่หลิวเยว่ยังคงสงวนท่าทางสงบนิ่ง และเมินเฉยต่อสายตาเหล่านั้น สองขาก้าวเท้ากลับไปหาพวกหลัวซือซือ และจากนั้นนางก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติของคนทั้งสาม
“เกิดอันใดขึ้น?”
ฉู่หลิวเยว่ถามอย่างแปลกใจ
จัวเซิงถอนหายใจพรืดใหญ่
“ข้าไม่ได้รับเลือก”
หลัวเยี่ยนหมิงเอ่ยต่อ
“ข้าเองก็ไม่”
ฉู่หลิวเยว่ตกใจอย่างมาก
“… แล้วซือซือล่ะ?”
หลัวซือซือเม้มริมฝีปากอย่างลังเล
“ข้าได้รับเลือก แต่ว่า…”
เมื่อต้องเจอกับผลลัพธ์เช่นนี้ นางกลับไม่มีความสุขเลยสักนิด
เดิมทีพวกเขาคุยกันไว้แล้วว่าเราสี่คนจะไปด้วยกัน แต่ตอนนี้มันกลับผิดคาดเสียอย่างนั้น
ฉู่หลิวเยว่พลันเข้าใจในทันที
ไม่แปลกเลยที่บรรยากาศรอบตัวพวกเขาสามคนจักหม่นหมองเช่นนี้
“เห้อ! อันที่จริงก็ไม่เป็นไรหรอก! ก่อนหน้านี้ข้าอาจหลงระเริงมากไปหน่อย สำนักแห่งนี้มีคนที่โดดเด่นเยอะแยะจะตาย ไม่ถูกเลือกย่อมมิเห็นแปลก!”
จัวเซิงเป็นคนแรกที่รีบเปลี่ยนบรรยากาศและให้กำลังใจพวกเขา
ก่อนจะหันมองฉู่เยว่แล้วทำทียกยิ้มมุมปาก
“ฉู่เยว่ เจ้าไปแล้วก็แสดงฝีมือให้เต็มที่! เอาให้สมกับเป็นน้องน้อยของพวกข้า! กลับมาแล้วข้าจะเกาะกระแสเจ้าเชิดหน้าชูตาเสียเลย!”
หากวันนี้นางเผลอหลุดประพฤติน่าสงสัยออกมา คงได้จบเห่เป็นแน่
“เจ้ายังรู้จักกลัวด้วยหรือ?”
ทันใดนั้น เสียงของตู๋กูโม่เป่าก็ดังขึ้น
ฉู่หลิวเยว่ตกใจสุดขีด ครั้นเห็นตู๋กูโมเป่าที่เขามารอนางอยู่ในห้องตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้
ความแข็งแกร่งของเขานั้นเหนือกว่าฉู่หลิวเยว่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แค่การซ่อนร่องรอยและลมปราณต่อหน้านางนั้น มิใช่เรื่องยากเย็นแสนเข็ญแต่อย่างใด
“พี่เป่า เจ้าทำข้าตกใจหมดเลย!”
ฉู่หลิวเยว่หลับตาและพยายามควบคุมจังหวะหัวใจให้สงบลง
แต่จู่ๆ นางก็จำต้องชะงัก แล้วตวัดตามองฝั่งตรงข้ามด้วยความสงสัย
“… นี่เจ้า… รู้แล้วหรือ?”
ตู๋กูโม่เป่ามิได้ตอบกลับ และทำเพียงยกมือขึ้นแล้วโยนมันให้นาง
ฉู่หลิวเยว่ยื่นมือไปคว้ามันไว้ตามสัญชาตญาณ
แปะ!
เจ้าสิ่งนั้นทั้งนุ่มและเปียกแฉะ
ฉู่หลิวเยว่ก้มลงไปมองใกล้ๆ พลันหางตากระตุกอย่างแรง
“ถวนจื่อ!?”
ก้อนขนสีแดงขนาดเท่าฝ่ามือแบบนี้ จะเป็นใครได้อีกถ้าไม่ใช่ถวนจื่อ!?
แต่เหมือนว่ายามนี้มันกำลังหลับลึก หัวของมันฝังจุ่มลงใต้ปีกข้างหนึ่ง และแม้ว่าตู๋กูโม่เปาจะจับมันแกว่งไปรอบๆ แต่ก็ดูท่าจะไม่ตื่นง่ายๆ
ตัวของมันถูกปกคลุมไปด้วยน้ำ ขนนุ่มปุยที่แต่เดิมเคยฟูฟ่อง ยามนี้กลับแนบเรียบไปตามลำตัวราวกับ…
คนหัวล้าน
แต่คำว่า “น่าเกลียด” น่าจะฟังดูได้อรรถรสกว่า
นอกจากทัณฑ์สวรรค์สีเงินที่ส่องประกายไปทั่วตัวของมันเป็นครั้งคราวแล้ว ก็เหมือนจะยังมีจุดอื่นที่ดูผิดปกติอยู่อีก จนฉู่หลิวเยว่ไม่อยากยอมรับเลยว่ามันคือสัตว์อสูรในพันธะของตน
“มันแช่อยู่ในตาน้ำพุนานเกินไปจนเมา”
ตู๋กูโม่เป่าพูดอย่างเย็นชา
ฉู่หลิวเยว่ “…”
“ปกติแล้วไม่มีใครเมาเพราะดื่มน้ำพุหรอก แต่อสูรตัวนี้ดื่มมากเกินไป เลยเมาหมดรูปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง… พลังของทัณฑ์สวรรค์มากมายที่มันกินเข้าไปอีก”
ตู๋กูโม่เป่าเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วมองไปทางฉู่หลิวเยว่
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันกลืนกินพลังของทัณฑ์สวรรค์ ที่สั่งสมอยู่ในตาน้ำพุมานานหลายปีไปมากเพียงใด? ถ้าข้าไม่จับมันออกมา ก็ไม่รู้ว่ามันจะหลับเป็นตายอยู่ที่นั่นไปอีกนานเท่าไร”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...