แม้ว่าฉู่หลิวเยว่จะได้รับบาดเจ็บบนร่างกาย แต่โชคยังดีที่มิได้เจ็บถึงแก่นวิญญาณ
ดังนั้นในตอนนี้ สำหรับนางแล้ว การรวมพลังของตนเพื่อซ่อมแซมค่ายกลกระสวยสวรรค์ทีละน้อยก็มินับว่ายากเกินไปนัก
ภายในความคิดของนาง นางจัดการแบ่งค่ายกลกระสวยสวรรค์ขนาดมหึมาออกเป็นค่ายกลขนาดเล็กจำนวนมาก
ค่ายกลกระสวยสวรรค์กับค่ายกลเหล่านั้นที่อยู่ในม้วนคัมภีร์อักษรเทวาเหมือนกันไม่มีผิด ทั้งหมดล้วนสร้างขึ้นมาด้วยมือของพี่เป่า จึงยากจะหาความแตกต่างของพวกมันได้
แน่นอนว่าข้อนี้ทำให้ฉู่หลิวเยว่ทำงานง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก
นางย้อนนึกถึงม้วนคัมภีร์อักษรเทวาที่เคยท่องจำไปพลาง ปล่อยพลังปราณดั้งเดิมอย่างรอบคอบไปพลาง ซ่อมแซมค่ายกลกระสวยสวรรค์ที่ขาดหายขึ้นมาได้ทีละน้อย!
…
บรรดาฝูงชนต่างก็ตาค้างอ้าปากหวอ
นี่…นี่มันสถานการณ์แบบใดกัน?
เวลาหนึ่งก้านธูปก่อน ฉู่หลิวเยว่ยังเผชิญกับสถานการณ์เป็นตายเท่ากัน ประหนึ่งเนื้อบนเขียงที่รอให้คนสับเป็นชิ้น
เหตุใดสถานการณ์ถึงได้พลิกกลับมาได้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้กัน?
นางที่กำลังยืนอยู่บนค่ายกลกระสวยสวรรค์ ฝ่ามือสีดำนั่นก็ไร้หนทางเข้าประชิดตัวนางได้อีก
มิต้องเอ่ยถึงจ้องเอาชีวิตนางเลย ตอนนี้แค่ความคิดจะทำร้ายนางก็เกรงว่าล้วนทำได้ยากแล้ว!
จุดสำคัญอยู่ที่ตัวฉู่หลิวเยว่เองเริ่มซ่อมแซมค่ายกลกระสวยสวรรค์โดยมิพูดอะไรออกมาสักคำด้วย…
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงนวดเปลือกตาของตนด้วยอดไม่อยู่
“นี่นางหนูเยว่เออร์…ทำเช่นนี้ได้อย่างใดกัน?”
หลังตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง ในใจของผู้อาวุโสฮวาเฟิงยิ่งทวีความฉงนและประหลาดใจมากกว่าเก่า
เขาเองก็เป็นปรมาจารย์เช่นกัน อีกทั้งในบรรดาผู้อาวุโสของสำนักแล้ว แน่นอนว่าตัวเขานับเป็นหนึ่งในผู้ที่โดดเด่นที่สุดเลยก็ว่าได้
แต่ต่อให้เป็นเขาเองก็มิกล้ารับประกันว่าตัวเองจะมีพลังถึงขั้นซ่อมแซมค่ายกลกระสวยสวรรค์ได้
ทว่า…ฉู่หลิวเยว่ไม่เพียงแต่ทำได้ ทั้งยังดูจะมั่นคงมากอีกด้วย!
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนมิได้เอ่ยอะไรออกมา
ในใจเขาพอเดาอะไรบางอย่างได้รางๆ แต่ก็มิกล้าฟันธงแน่ชัด
ผู้อาวุโสท่านอื่นเองก็ทยอยจมลงสู่ภวังค์ความคิด
…
ซั่งกวนจิ้งเช็ดคราบเลือดบนมุมปากออก สองตาจ้องเขม็งไปยังฉู่หลิวเยว่ที่ยืนอยู่บนค่ายกลขนาดมหึมาที่มีสภาพไม่สมบูรณ์ก่อนจะนิ่วหน้า
เขามิใช่ปรมาจารย์ หากแต่เป็นช่างหลอมอาวุธ
การซ่อมแซมค่ายกลกระสวยสวรรค์ยากเย็นเพียงใด จะมากน้อยเขาก็ยังพอเข้าใจอยู่บ้าง
ทว่าภาพฉากที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าดูไปแล้วออกจะแปลกประหลาดเกินไปหน่อยจริงๆ
“ผู้อาวุโสซั่งกวน ท่านเป็นอันใดไปหรือ?”
สุ้มเสียงสายหนึ่งลอยแว่วมาจากทางด้านข้าง
ซั่งกวนจิ้งหันศีรษะไปมอง
“เจ้าสำนักหนานเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าสบายดี”
หนานซู่ไหวผ่อนลมหายใจออกมา
“เช่นนั้นก็ดี”
ไม่ว่าอย่างไร ความอาวุโสของซั่งกวนจิ้งล้วนสูงกว่าฝูงชนในที่นี้แทบทุกคน
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นบรรพบุรุษของฉู่หลิวเยว่ จึงย่อมต้องให้ความเกรงใจเขาอยู่สามส่วน
“เพียงแต่เยว่เออร์น่ะ…” ซั่งกวนจิ้งอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หยุดชะงักลง
หนานซู่ไหวรู้ดีว่าเขากำลังวิตกกังวลถึงสิ่งใด จึงรีบกล่าวปลอบว่า
“ผู้อาวุโสซั่งกวนโปรดวางใจ เยว่เอ๋อร์กระทำเรื่องใดล้วนรู้ขีดจำกัดดี ในเมื่อนางเลือกจะทำเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราก็รอดูความเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ ก่อนเถิด บางที…อาจจะสามารถแก้ปัญหาขึ้นมาได้จริงๆ หนา?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของซั่งกวนจิ้งก็ขยับน้อยๆ สายตาหยุดมองบนดวงหน้าของหนานซู่ไหวอยู่พักหนึ่ง
สีหน้าหนานซู่ไหวจริงใจนัก ทั้งยังยอมให้เขาจ้องมองได้ตามใจชอบ
เทียบกับท่าทีตระหนกแลเปี่ยมด้วยความกังวลก่อนหน้าแล้ว เหมือนจะ…มีความแตกต่างอยู่บ้าง
ความคิดของซั่งกวนจิ้งตีรวนไปมา เขาระงับความว้าวุ่นใจลงไป ก่อนจะพยักหน้า
“ได้แต่หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
…
หลังจากหนานซู่ไหวเอ่ยจบไม่นาน ก็มีร่างหนึ่งพุ่งทะยานไปหาหรงซิว
ในตอนนั้น หรงซิวเองก็กำลังมองฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตาสนเท่ห์อย่างถึงที่สุด
แววตาของเขาลึกล้ำนัก ใครต่อใครก็มิอาจคาดเดาได้
เมื่อรับรู้ถึงการมาของหนานซู่ไหว แววตาของหรงซิวขยับไหวน้อยๆ ก่อนมองเขาแวบหนึ่ง
“คารวะเจ้าสำนัก”
หนานซู่ไหวโบกมือเป็นเชิงว่ามิต้องมากพิธี
“เจ้า…เป็นอย่างใดบ้าง?”
ในตอนนี้มีความช่วยเหลือจากต้าเป่า กระแสพลังแปลกประหลาดของฝ่ามือสีดำจึงถูกกักเอาไว้ด้านนอก ความรู้สึกที่เหมือนจะถูกช่วงชิงไข่มุกธาราจึงหายวับไป
ฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ เข้าสู่สภาวะที่มั่นคงขึ้น นางเริ่มซ่อมแซมค่ายกลกระสวยสวรรค์อย่างช้าๆ และแม่นยำ
…
ณ ขอบฟ้าค่อยๆ ปรากฏเส้นพุงปลายามรุ่งสางให้เห็น
ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว แสงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วทุกอาณาบริเวณ
วันใหม่มาเยือนแล้วด้วยประการฉะนี้
คนจำนวนมากมองไปยังสุริยันที่ค่อยๆ ลอยขึ้น ก่อนจะพากันถอนใจออกมาอย่างเปี่ยมอารมณ์
เมื่อคืนนี้มิมีผู้ใดในสำนักหลิงเซียวข่มตาหลับอย่างสบายใจได้เลยสักคน
ทุกคนล้วนตาสว่าง ทั้งรอคอยอย่างทรมานใจ
จนกระทั่งตอนนี้ พวกเขาก็ยังคงยืนหยัด มิกล้าผ่อนคลายท่าทีเลยแม้สักเสี้ยว
เขาหมื่นเมรัยกลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้วเรียบร้อย
บนกลางอากาศมีค่ายกลขนาดมหึมาอันหนึ่งลอยล่องอย่างเงียบงัน
สีม่วงและสีเงินตัดพาดผ่านกัน ส่องสว่างเรืองรองไปทั่ว
นั่นคือค่ายกลกระสวยสวรรค์นั่นเอง!
เวลายามค่ำคืนผ่านไปแล้ว ค่ายกลกระสวยสวรรค์ที่เดิมพังทลายไม่มีชิ้นดีมาบัดนี้รับการฟื้นฟูมาได้เกินครึ่งแล้ว
บรรดาฝูงชนที่พากันตื่นตกใจในคราแรก ค่อยๆ พากันทำใจยอมรับ
ต่อให้เรื่องนี้จะดูไม่น่าเชื่อถือแม้แต่น้อย แต่ว่า…
ความจริงได้มาประจักษ์ต่อหน้าแล้ว!
…
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่เต็มไปด้วยสีแดงก่ำ ดวงหน้าเองก็ซีดเผือดอยู่ไม่น้อย
หากยืนอยู่ใกล้ๆ แล้ว จะเห็นได้เลยว่าร่างกายของนางกำลังสั่นระริกแผ่วเบา
ทว่าสายตาของนางยังคงหนักแน่นมั่นคงมิเปลี่ยน
ในความเป็นจริง นางใช้พลังกายและพลังใจหมดไปตั้งนานแล้ว จากนั้นจำต้องพึ่งพาไข่มุกธาราให้ช่วยยืนหยัดต่อไปได้
บัดนี้ ค่ายกลกระสวยสวรรค์เหลือเพียงจุดพังทลายเล็กๆ เส้นสุดท้ายที่ต้องการการซ่อมแซม
ทันทีที่ทำสำเร็จ ก็จะสามารถสะกดฝ่ามือนั่นได้อีกครั้งหนึ่ง!
ฉู่หลิวเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกัดฟันปล่อยประกายแสงเส้นสุดท้ายออกไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...