“ไม่รู้จริงหรือว่าฉู่หลิวเยว่คิดอันใดอยู่ ถึงมาเข้าร่วมการประลองในตอนนี้! เวลาเหลือเพียงแค่หนึ่งชั่วยาม นางจะทำอันใดได้?”
“ใช่แล้ว! ขนาดเซิ่นอีหมิงและซูไป๋ ทั้งคู่ต่างก็เป็นอัจฉริยะตัวจริง ยังใช้เวลาเกือบทั้งวัน กว่าจะผ่านมาถึงด่านที่สี่ได้ เมื่อมาถึงการแข่งขันโค้งสุดท้าย นางกลับเพิ่งโผล่มา นี่ตั้งใจจะมาขายขำให้คนอื่นดูเล่นๆ หรือไง?”
“เฮ้อ พวกเจ้าก็ต้องคิดในมุมของสำนักเทียนลู่ด้วย ตอนนี้พวกเราเหลือเพียงฉู่หลิวเยว่คนเดียวเท่านั้นแล้ว”
“คนเดียวหรือ? พูดเหมือนว่านางจะสามารถเอาชนะได้อย่างนั้นล่ะ ฮ่าๆ!”
ในตอนนี้เกือบจะทุกคนไม่มีใครตั้งความหวังไว้กับนางเลย
แม้กระทั่งคนของสำนักเทียนลู่เอง ก็เต็มไปด้วยความกังวล แม้ว่าจะไม่มีใครพูดออกมา แต่บรรยากาศในตอนนี้ก็เคร่งเครียดอย่างมาก
โดยเฉพาะหลังที่เห็นว่าซือถิงเดินกลับมาแล้ว ความตึงเครียดก็เพิ่มมากขึ้น
ขนาดซือหยางที่หลบหนีมาโดยตลอด ก็ไม่กล้าเข้ามาพูดอันใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาจึงยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ และลดการเป็นจุดสนใจของตนเองให้ได้มากที่สุด
อารมณ์ของพี่ใหญ่ตอนนี้ ไม่สามารถยั่วโมโหได้ตามใจชอบ…
เขาประสานมือทั้งสิบ และกล่าวภาวนาในใจ
”ไอ้โรคจิตหน้าตายจะต้องได้ที่หนึ่ง! ต้องได้ที่หนึ่ง!”
ทันใดนั้นเองความโกลาหลในสนามการประลองก็เกิดขึ้น
ซือหยางก้มหน้าลงไปมองอย่างตกใจ สายตาของคนทุกคนก็จับจ้องไปที่ฉู่หลิวเยว่เช่นกัน
เมื่อเขาเหลือบสายตาลงไปมอง ก็เห็นว่าฉู่หลิวเยว่ที่อยู่บนเวทีได้อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเองดาวหนึ่งดาวก็สว่างขึ้นแล้ว!
แย่แล้ว!
ซือหยางขยี้ตาทั้งสองข้างของตัวเองอย่างแรง พร้อมมองไปอีกครั้งอย่างละเอียด
ถูกต้อง!
ฉู่หลิวเยว่ผ่านด่านที่หนึ่งแล้ว! กำลังเข้าด่านที่สอง!
นี่…นี่มันเร็วเกินไปหน่อยแล้วกระมัง
ที่บอกว่าเป็นไอ้บ้าหน้าตาย แต่ก็ไม่คิดว่าจะบ้าขนาดนี้?
ไม่เพียงแต่ซือหยางเท่านั้น คนทั้งสนามก็ต่างตะลึงกับความเร็วที่เหนือธรรมดาของฉู่หลิวเยว่ทั้งนั้น
“ช้าก่อน! นี่ข้าไม่ได้มองผิดไปใช่หรือไม่? คิดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะทะลวงค่ายกลด่านแรกได้แล้ว”
“ถะ…ถูกต้อง ข้าเห็นก็เห็นเช่นกัน! เหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริง!”
“ไม่หรอกมั้ง! นางเพิ่งขึ้นเวทีไปไม่ใช่หรือ? แม้ว่าความยากจะค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไป แต่ด่านที่หนึ่งก็ไม่ได้แตกง่ายขนาดนี้หรอกมั้ง เมื่อครู่ก็มีคนติดที่ด่านนี้เยอะแยะไม่ใช่หรือ?”
“นางทะลวงด่านนี้ได้อย่างไรกันแน่…”
เสียงความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ได้ทำลายสมาธิของเซิ่นอีหมิงละซูไป๋ไปด้วยเช่นเดียวกัน
พวกเขาสองคนเหลือบสายตาไปมองฉู่หลิวเยว่ครู่หนึ่ง
แผ่นหินด้านหน้าของนางมีดาวหนึ่งดวงส่องสว่างขึ้นแล้วจริงๆ
อีกทั้งใบหน้าของนางก็ดูเรียบสงบดังเดิม ราวกับว่าไม่ได้สนใจว่าที่ตนเองเพิ่งได้ทำลงไปนั้นทำให้คนอื่นตกใจมากน้อยแค่ไหน
นางสามารถเล่นต่อไปอย่างราบรื่น นั่นเพราะนางจดจ่อเกินไป หรือว่า…นางมีแผนเอาไว้ในใจตั้งนานแล้ว
สีหน้าของซูไป๋ดูครุ่นคิดเล็กน้อย แต่แววตาของนางกลับจริงจังมากขึ้นหลายส่วน
เซิ่นอีหมิงขมวดคิ้วแน่น ในใจมีความรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ตั้งแต่ด่านแรกจนถึงด่านที่สี่ เขาเป็นคนแรกที่ทะลวงผ่านก่อนตลอด แต่ต่อให้เป็นเขา ด่านแรกก็ยังต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งก้านธูปเต็มๆ
แต่เหมือนว่าฉู่หลิวเยว่แค่มองมันภายในชั่วพริบตาก็สามารถทะลวงได้แล้ว
ฉู่หลิวเยว่เป็นเพียงแค่ปรมาจารย์ระดับสอง ตามหลักการแล้วนางไม่น่าจะทะลวงด่านได้เร็วขนาดนั้น
หรือว่า…ค่ายกลระดับแรกนี้เป็นสิ่งที่นางเคยเห็นมาก่อนแล้ว?
เหมือนว่ามีเหตุผลที่เท่านี้ที่จะสามารถอธิบายว่า เหตุใดนางถึงสามารถทะลวงค่ายกลด่านแรกได้เร็วเช่นนี้
เซิ่นอีหมิงค่อยๆ ระงับความหงุดหงิดในใจลดลง และแค่นหัวเราะกับตัวเองเล็กน้อย
เขาตื่นเต้นเกินไปแล้ว
ต่อให้ฉู่หลิวเยว่สามารถทะลวงด่านที่หนึ่งได้แล้ว ก็ยังมีด่านสอง ด่านสาม ด่านสี่อีก
ในยามนี้นางไม่สามารถตามเขาทันได้อยู่แล้ว!
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ในใจของเขาก็สงบขึ้นมาก
…
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงดังที่คุ้นเคย ดังขึ้นอีกครั้ง
ตู้ม!
นั่นมันเสียงกลค่ายถูกทะลวงแล้ว!
หัวใจของเซิ่นอีหมิงแทบจะหยุดเต้น เขาหันกลับไปมองทันที
จากนั้นเขาก็เห็นว่าแท่นหินที่อยู่ด้านหน้าของฉู่หลิวเยว่มีดาวดวงที่สองปรากฏขึ้น
คาดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะสามารถผ่านด่านที่สองได้อย่างราบรื่นเช่นนี้
สีหน้าฉู่หลิวเยว่ราบเรียบอย่างมาก นางมองไปที่กระดานนั้นโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าด้วยซ้ำ
และไม่นาน ค่ายกลด่านที่สี่ก็ปรากฏขึ้น
ตอนนั้นเองผู้ชมทุกคนที่เคยมีความคิดที่เปลี่ยนไปต่างๆ นานา ต่างก็เงียบปากไปทั้งหมดแล้ว
ถ้าฉู่หลิวเยว่เรียกว่าคนไม่มีพรสวรรค์ เช่นนั้นก็ไม่มีใครกล้ากล่าวอ้างตัวเองว่ามีพรสวรรค์อีกแล้ว
ตอนนี้ สิ่งที่พวกเขาสนใจมีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ฉู่หลิวเยว่จะสามารถทะลวงด่านที่สี่และด่านที่ห้าภายในเวลาครึ่งชั่วยามที่เหลือได้หรือไม่ นางจะสามารถคว้าที่หนึ่งมาได้จริงหรือไม่
รอยยิ้มบนใบหน้าของซูไป๋ไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่ตอนไหน
มือที่จับหมากรุกของเซิ่นอีหมิงก็เริ่มสั่นเล็กน้อย
ต่อให้ไม่หันกลับไปมองพวกเขาก็สามารถเดาได้บางส่วนแล้ว ตอนนี้ความหวังเดียวของพวกเขาคือขออย่าให้ฉู่หลิวเยว่ไล่ตามมาได้ทัน
ตึก!
ฉู่หลิวเยว่วางหมากลง
ทั้งสองคนตกใจอย่างมาก
คาดไม่ถึงว่านางจะสามารถทะลุด่านสี่ได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้
ทันใดนั้นเสียงวางหมากบนกระดานก็ดังขึ้นไม่หยุด
การเคลื่อนไหวของฉู่หลิวเยว่เป็นไปอย่างราบรื่น เสียงเตือนกลับเข้ามาดังในหูของเซิ่นอีหมิงอีกครั้ง
หากมองให้ดีๆ หน้าผากของพวกเขาทั้งสองคนในตอนนี้มีเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดออกมาหลายเม็ดแล้ว
ไม่ได้…ไม่ได้การแล้ว… จะต้องเร่งทะลวงด่านสุดท้ายให้สำเร็จโดยด่วน
แต่ยิ่งคิดแบบนั้น ก็ยิ่งยากที่จะทำให้สำเร็จ
อีกทั้ง การเคลื่อนไหวของฉู่หลิวเยว่ก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เงียบลง
เซิ่นอีหมิงสบตากับซูไป๋ จากนั้นก็หันกลับไปมองพร้อมกัน
ฉู่หลิวเยว่ถือหมากตัวสุดท้ายด้วยปลายนิ้วมือ และกำลังมองทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม
“ข้ารออยู่นานแล้ว”
เมื่อพูดจบ เสียงดัง “ปึก” ดังขึ้น นางวางหมากลงไปแล้ว
ตู้ม!
ดาวดวงที่สี่สว่างขึ้นแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...