ฉู่หลิวเยว่คว้าชัยชนะมาได้ในช่วงวินาทีสุดท้าย นางสามารถทะลวงด่านสุดท้ายได้สำเร็จ กลายเป็นผู้เข้าแข่งเพียงคนเดียวที่สามารถทะลวงค่ายกลทั้งหมดได้สำเร็จ
เมื่อมองไปที่ดวงดาวทั้งห้าที่อยู่ด้านหน้าของนาง ทุกคนก็ต่างมีปฏิกิริยาที่ต่างกันออกไป
บางคนตกใจ บางคนประหลาดใจ บางคนดีใจ บางคนอารมณ์เสีย
แต่ในใจของพวกเขาเหล่านั้น ล้วนไม่อยากจะเชื่อในฝีมือของฉู่หลิวเยว่ ต้องบอกก่อนเลยว่า ตั้งแต่นางเริ่มแข่งมาจนถึงตอนนี้ นางใช้เวลาไปเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น แต่นางก็สามารถทะลวงค่ายกลทั้งห้าได้ ต่อให้มีคนสงสัยเกี่ยวกับตัวของนาง แต่ก็ต้องยอมรับว่านางนั้นมีพรสวรรค์เป็นเลิศจริงๆ เรียกได้ว่าหาจับตัวได้ยาก
ฉู่หลิวเยว่ลุกขึ้นยืนพร้อมมองไปยังซูไป๋อย่างเกรงใจ
“ออมมือแล้ว”
ซูไป๋หัวเราะอย่างขมขื่น
“ออมมือ?” ให้แม่นางที่ไหนกัน?
“ข้ายอมแพ้แล้ว แพ้ทั้งตัวและหัวใจ”
ซูไป๋กลับยอมรับอย่างตรงไปตรงมา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และทำความเคารพฉู่หลิวเยว่
ความจริงแล้วตั้งแต่ตอนที่ฉู่หลิวเยว่สามารถปกป้องกระดานของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาก็ได้ยอมแพ้แล้ว
ฉู่หลิวเยว่แข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก!
ทุกคนมองฉากนี้อย่างอึ้งๆ
ซุนจ้งเหยียนกลับเป็นคนแรกที่ได้สติขึ้นมา หัวใจของเขาเต้นแรงมาก
“ขอข้าประกาศว่าผู้ชนะของงานสมาคมเยาวชนปรมาจารย์ค่ายกลคือ ฉู่หลิวเยว่จากสำนักเทียนลู่!”
ทุกคนได้ยินประโยคคำพูดที่เหมือนกับเมื่อวานอีกครั้ง
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าหลังจากที่ฉู่หลิวเยว่ได้ที่หนึ่งของประเภทการต่อสู้แล้ว ประเภทปรมาจารย์ค่ายกลก็ยังได้ที่หนึ่งด้วยเช่นกัน
“ไอ้โรคจิตน่าตายนั่นจะไม่ปล่อยให้คนอื่นได้มีทางเดินบ้างเลยหรือ”
ซือหยางพูดขึ้น
เขามีความรู้สึกว่าระยะห่างของเขากับฉู่หลิวเยว่จะห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่เป็นคนที่อยู่ที่นี่ทุกคน
คนแบบนี้เกิดมาเพื่อให้คนอื่นอิจฉาใช่หรือไม่?
ในที่สุดมู่หงอวี่ก็ถอนหายใจออกมา พร้อมตะโกนขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจ
จนถึงตอนนี้การแข่งขันสองประเภทของงานสมาคมเยาวชน สำนักเทียนลู่ของพวกเขาสามารถคว้าที่หนึ่งมาได้ทั้งหมดเลย และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นเป็นฉู่หลิวเยว่ที่ชนะด้วย
ในครั้งนี้ถือว่านางเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในงานเพียงคนเดียวแล้วล่ะ
ตรงกันข้ามสำนักอีกสองสำนัก กลับมีบรรยากาศมืดมน
เมื่อเซิ่นอีหมิงได้ยินประกาศเช่นนั้นจากซุนจ้งเหยียน ในที่สุดเขาก็ทนไม่ได้อีกต่อไปเลือดในกายพุ่งพล่าน ตาดำพลิกไปด้านบนแล้วหมดสติลงทันที
ซีหว่านหว่านรีบเข้าไปพยุงเขาทันที
“อีหมิง…อีหมิง! เจ้าเป็นอันใด”
ฝูอวิ๋นซานเหลือบสายตามามองเขาแล้วรู้สึกรำคาญใจ และผิดหวังเล็กน้อย
“เขาเพียงทนไม่ไหวแล้วสลบไปเท่านั้น เจ้าพาเขาไปพักผ่อนให้ดีเถอะ”
ต่อให้แพ้ต่อให้คนอื่นก็แล้วไปเถอะ แต่เหตุใดถึงต้องมาเป็นแพ้ฉู่หลิวเยว่ ช่างน่าอับอายอย่างยิ่ง!
นิสัยแบบนี้ของเซิ่นอีหมิง เขาจะต้องปรับเปลี่ยนมันเสียหน่อย…
“อ่า…อื้อ เจ้าค่ะศิษย์จะพาไปเดี๋ยวนี้!”
ในใจของซีหว่านหว่านรู้สึกเป็นห่วงเซิ่นอีหมิงอย่างยิ่ง จึงไม่ทันได้สังเกตความไม่พอใจบนใบหน้าของฝูอวิ๋นซาน
นางรีบโบกมือให้คนที่อยู่ข้างๆ ช่วยนางแบกเซิ่นอีหมิงออกไปทันที
แต่ตอนที่นางกำลังจะหมุนตัวกลับไป นางกลับได้ยินเสียงเรียกที่ดังคุ้นหูขึ้นมา
“ช้าก่อน…”
หัวใจของซีหว่านหว่านกระตุกวูบจึงหยุด และหันกลับไปมองทันที
ฉู่หลิวเยว่เอามือกอดอกแน่นพร้อมส่งรอยยิ้มให้นาง เพียงแต่ว่ารอยยิ้มที่ว่านั่นกลับทำให้ซีหว่านหว่านรู้สึกย่ำแย่กว่าเดิมเท่านั้น
ซีหว่านหว่านหลบสายตาของฉู่หลิวเยว่อย่างรู้สึกผิด แล้วถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
“เจ้ากำลังเรียกข้าหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้า
ฉู่หลิวเยว่พูดชื่นชมอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงจริงใจ ดูท่าทางของนางแล้ว ถ้าในมือนางไม่ได้ถือกระดานเอาไว้ เกรงว่านางจะตบมือให้อีกฝ่ายแน่นอน
ซีหว่านหว่านหน้าแดงก่ำด้วยความโมโห เมื่อเห็นท่าทางที่มั่นใจของฉู่หลิวเยว่ หัวใจที่สงบนิ่งของนางก็เริ่มสั่นไหวอีกครั้ง หรือว่า…หรือว่าฉู่หลิวเยว่นางจะมีวิธีจริงๆ
“หลิวเยว่ เจ้าพบสิ่งใดหรือ?”
ซุนจ้งเหยียนขมวดคิ้วพร้อมถามขึ้น
เขาก็รู้ว่าสาเหตุที่ซือถิงออกจากการแข่งขันมันแปลกมากเกินไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่สงสัยในตัวของซีหว่านหว่าน
เพียงแต่ว่าเขายังหาเบาะแสไม่เจอเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ได้ไล่ตามเรื่องนี้เขากำลังคิดว่าหลังจากที่การแข่งขันจบ เขาจะมาถามซือถิงอยู่พอดี
แต่คิดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะลงมือก่อนหนึ่งก้าว
“ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ ตอนนั้นข้าพบว่าบนกระดานเหล่านี้มีของสิ่งอื่นปรากฏขึ้นมาโดยบังเอิญ”
ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้นมือข้างหนึ่งของนางก็เคาะไปที่กระดานนั้น
แววตาของซีหว่านหว่านจ้องมองไปที่มันตาเขม็ง
ไม่มีอะไรอยู่บนกระดาน ทุกอย่างดูสะอาดสะอ้านอย่างมาก
เห็นได้ชัดว่าฉู่หลิวเยว่กำลังหลอกตัวเอง
นางแค่นหัวเราะเสียงเย็น จากนั้นก็เยาะเย้ยว่า
“ฉู่หลิวเยว่ เจ้าบอกว่ามีสิ่งใดอยู่บนกระดาน ไม่ทราบว่าสิ่งนั้นมันคือสิ่งใดกันแน่หรือ ข้ามองแล้วกลับไม่พบสิ่งใดเลยนะ?”
ส่วนคนอื่นๆ ก็มีใบหน้ามึนงงเช่นกัน พวกเราไม่รู้ว่าฉู่หลิวเยว่กำลังชี้สิ่งใดให้ดู
ฉู่หลิวเยว่ยกยิ้มขึ้น
“เดี๋ยวเจ้าก็จะรู้แล้ว”
เมื่อพูดจบนางก็โบกมือขึ้นจากนั้นลำแสงสีเงินก็ปรากฏ ทันทีที่มือของนางลากผ่านกระดานอันนั้นอย่างเบาๆ รอยเส้นไหมที่อยู่บนกระดานก็ปรากฏขึ้น นางขยับนิ้วเบาราวกับว่ากำลังวาดโครงร่างอันใดบางอย่าง กระดานที่เคยราบเรียบก็ค่อยๆ มีลวดลายสว่างขึ้น ลำแสงทับซ้อน สลับไปมา
ซุนจ้งเหยียนเบิกตากว้างขึ้น
นั้นมัน…คาดไม่ถึงว่าด่านสุดท้ายของค่ายกล
ฉู่หลิวเยว่กำลังซ่อมแซมค่ายกลนั้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งหรือ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...