เมื่อซือถิงหันไปมอง
หลีอ๋องเสด็จมาที่นี่ในเวลานี้ และ…นั่นก็คือคนที่นางชอบ
เขาชะงักฝีเท้าไป และไม่ได้เดินขึ้นไปด้านหน้า
ในเมื่อเป็นเขา ก็ต้องยอมรับละว่าแม้หลีอ๋องผู้นี้ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงมาเป็นเวลานาน แต่ก็เป็นบุรุษที่อยู่ในความสนใจของผู้คนตลอด
ซือหยางที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเอาศอกกระทุ้งซือถิง แล้วพูดเสียงเบาว่า
“แต่ว่าเขาก็เป็นคนขี้โรคคนหนึ่งนะ ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าโรคจิตน่าตายนั่นชอบอะไรในตัวเขา…หน้าตางั้นหรือ?”
เพียงชายรูปงามมันใช้ประโยชน์อันใดได้?
ตอนแรกที่ได้ยินว่าฉู่หลิวเยว่ชอบหลีอ๋องผู้นี้ ในใจของเขายังรู้สึกไม่ยอมรับ
เมื่อเทียบกับพี่ใหญ่ของบ้านเขาแล้ว นอกจากฐานะที่ต่างกันนิดหน่อย เรื่องอื่นล้วนเหนือกว่าทั้งนั้นไม่ใช่หรือ?
ยิ่งไปกว่านั้นพี่ใหญ่ของบ้านเขา อนาคตจะต้องกลายเป็นประมุขตระกูลซือแน่นอน ถ้าพูดตามตรงแล้ว ก็ไม่มีตรงไหนที่ด้อยกว่าเลย
ไม่รู้จริงๆ ว่าฉู่หลิวเยว่คิดอย่างไรกันแน่!
ซือถิงมีสีหน้าราบเรียบ และมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง
ซือถิงพูดอันใดไม่ออกทันที จึงได้แต่หุบปากเงียบไป
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าในใจของซือถิงนั้นกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
หลีอ๋องที่บอกว่าตนเองเป็นคนอ่อนแอขี้โรค ไม่มีอำนาจ ไม่มีแม้กระทั่งพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียร
แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังชอบเขา
ต่อให้คนอื่นดีมากเท่าไร นางก็ไม่ชอบ แล้วจะทำอันใดได้อีกเล่า?
อีกทั้ง…เขารู้สึกว่าตลอดว่าคนผู้นี้ไม่ค่อยเหมือนกับข่าวลือเท่าไรนัก
เขาสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามเล็กๆ ที่แผ่ออกมาจากร่างกายของหรงซิว
นี่ไม่ใช่ปราณของคนป่วยที่เอาแต่นอนติดเตียงแน่นอน!
…
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้สังเกตประกายแสงระหว่างพวกเขาทั้งสองคนเลย นางจึงเดินไปที่ด้านหน้าของหรงซิว
“หรงซิวมาได้อย่างใดเพคะ? มีอันใดให้หม่อมฉันช่วยหรือเพคะ?”
หรงซิวหัวเราะเบาๆ
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แต่ว่าต้องรบกวนให้คุณหนูหลิวเยว่ไปกับข้าเสียหน่อย”
ฉู่หลิวเยว่ตำหนิอีกฝ่ายอยู่ในใจ
พวกเขาเพิ่งแยกจากกันได้ไม่ถึงสองชั่วยามเลย มีเรื่องอันใดที่ต้องรีบร้อนจนต้องมาหานางให้ช่วยเช่นนี้?
นี่มันตั้งใจมาชัดๆ
แต่เมื่อเห็นสายตาที่อบอุ่นของหรงซิว หัวใจของนางก็อ่อนยวบ ราวกับว่ามีกลิ่นความหวานซ่อนเปรี้ยวอยู่ด้านใน
มุมปากของนางยกยิ้มขึ้น
“ในเมื่อหลีอ๋องตรัสเช่นนี้ออกมาแล้ว เช่นนั้นหม่อมฉันก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ช่วย”
แววตาของหรงซิวมีประกายความพึงพอใจสว่างวาบขึ้นมา
หากว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย เขาจะต้องดึงนางมาอยู่ในอ้อมกอดแล้ว
เฉินหู่เกาศีรษะเบาๆ มองคนสองคนที่เดินออกไป แล้วถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ว่า
“หลิวเยว่ เจ้าจะไปแล้วหรือ? ไม่มาฉลองกับพวกเราหน่อยหรือ?”
เมื่อวานฉู่หลิวเยว่สามารถคว้าที่หนึ่งของการแข่งขันประเภทการต่อสู้มาได้ พวกเขาก็ต้องการชวนนางไปฉลองเช่นกัน แต่เมื่อคิดว่าวันรุ่งขึ้นนางมีแข่งปรมาจารย์ค่ายกล พวกเขาจึงเลื่อนเวลาออกมา
วันนี้นางยังสามารถคว้าที่หนึ่งมาได้อีกครั้ง ไม่ว่าอย่างใดก็ต้องฉลองเสียหน่อย
“ครั้งก่อนเจ้าเพิ่งบอกว่าจะไปหอคอยเฟิ่งหวง!”
เฉินหู่กุมศีรษะด้านหลังของตัวเอง จากนั้นก็หันไปมองมู่หงอวี่ด้วยสายตาไม่ได้รับความเป็นธรรม
นางตีเขาด้วยเหตุใดเนี่ย?
“หลีอ๋องมีเรื่องที่ต้องให้ฉู่หลิวเยว่ช่วย พวกเราจะไปทำให้พวกเขาเสียเวลาได้อย่างใด? เรื่องฉลอง รอให้ฉู่หลิวเยว่กลับมาก็จัดก็ได้เหมือนกัน”
แต่วันนี้นางเพิ่งได้รู้ว่า เรื่องทั้งหมดเป็นแค่ความฝันสวยงามที่นางเพิ่งตื่นขึ้นมาเท่านั้น
เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่านางคือใคร!
ในสายตาของเขาเย็นชาราวกับมองคนแปลกหน้าคนหนึ่ง!
“อาจารย์ ข้ารู้สึกไม่สบายเล็กน้อย ขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”
ซือถูซิงเฉินพูดขึ้นเสียงต่ำ
เฉินหันถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้ง
“ก็ดี พรุ่งนี้เป็นการแข่งขันเซียนหมอเจ้ารีบกลับไปพักผ่อน แล้วก็เตรียมตัวให้ดี”
ซือถูซิงเฉินขานรับหนึ่งครั้ง จากนั้นก็หมุนกายเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
…
ฉู่หลิวเยว่ที่เดินตามหรงซิวออกมา ทันใดนั้นก็เห็นรถม้าที่คุ้นเคย
หรงซิวนั่งรถม้าออกมา?
เมื่อลองคิดไปแล้วก็ถูก ในเมืองหลวงมีสายตาคนมากมายคอยจับจ้อง เขาเป็นแค่หลีอ๋องขี้โรคต้องแดดต้องลมไม่ได้
เยี่ยนชิงก้าวขึ้นไปด้านหน้าเพื่อเตรียมตัวขี่ม้า
หรงซิวเดินขึ้นไป จากนั้นก็เปิดม่านขึ้นด้วยตนเอง
ฉู่หลิวเยว่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน สายตากวาดมองไปบนตัวของหรงซิวอย่างช้าๆ
โดยเฉพาะแขนเสื้อ และมุมของเสื้อผ้า
“ลวดลายบนเสื้อผ้าของหลีอ๋องนั้นเป็นเอกลักษณ์มาก มีชิ้นเดียวในโลกหรือ?”
หรงซิวหรี่ตาลง
นางหึงเขาหรือเนี่ย…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...