“สวนเทพเนรมิต? เจ้าแน่ใจหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ถามอีกฝ่ายในใจ
“แน่ใจสิ”
อินทรีสามตาเอ่ยอย่างหนักแน่น
“หากเข้าใกล้อีกหน่อย ข้าจะสามารถเดาตำแหน่งของมันได้อย่างแม่นยำ”
ฉู่หลิวเยว่เดินต่อไปอย่างสงบและขมวดคิ้วเล็กน้อย
สมัยนั้นนางชื่นชอบสวนเทพเนรมิตอย่างมาก ทว่าถึงจะคลุกคลีกับมันอยู่นานหลายปี แต่นางก็ไม่เคยสังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ ในสวนนั่นเลย
แล้วใบโพธิ์สีทองม่วงนั่นจะปรากฏออกมายามใดกัน?
…
ภายใต้การนำทางของคนรับใช้ พวกเขาก็ได้เดินผ่านทางเดินที่คดเคี้ยว ลอดผ่านระลอกคลื่นในทะเลสาบ จนในที่สุดก็มาถึงสวนเทพเนรมิต
และหลังจากเดินลอดผ่านซุ้มประตูรูปวงกลมที่สวยงามและเรียบง่ายเข้าไปแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็พบกับคนจำนวนมากที่ยืนรออยู่กลางลานกว้างในสวน
“เชิญท่านทั้งสอง…”
เด็กหนุ่มรับใช้หยุดยืนอยู่นอกประตู
สถานที่แห่งนี้มีระบบป้องกันที่แข็งแกร่งและเข็มงวดอย่างมาก ซึ่งเขานั้นได้รับหน้าที่ให้นำทางผู้เข้าแข่งขันมายังจุดนัดพบ แต่มิได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้านใน
“ขอบคุณเจ้ามาก”
ฉู่หลิวเยว่มองไปยังฉากที่คุ้นเคยตรงหน้า พร้อมคลื่นความรู้สึกบางอย่างที่พุ่งพล่านขึ้นในใจ
นางคุ้นเคยกับก้อนอิฐ ก้อนหิน ต้นหญ้า และต้นไม้ที่นี่ทั้งหมด
นางถอนหายใจเบาๆ พลันยืดไหล่ให้ตั้งตรง และยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกเท้าแล้วเดินเข้าไปด้านใน
ซึ่งทันทีที่นางเดินเข้าไป ลานกว้างที่เคยมีเสียงดังระงม ก็เงียบกริบในทันตา
ทุกคนหันมองนางด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป
ฉู่หลิวเยว่ตวัดตามองอย่างรวดเร็ว พลันจดจำใบหน้าอันคุ้นเคยมากมายเหล่านั้นได้
แม้แต่หยางเซิ่นเอ๋อร์ และคนอื่นๆ ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก่อน ต่างก็มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
ทว่าเมื่อพูดถึงสำนักวิชาที่หลังจากนี้แต่ละคนจำต้องเข้าไปสังกัดอยู่ ก็แทบไม่มีผู้ใดยอมอ่อนข้อให้กันเลย
เมื่อมองไม่เห็นร่างของคนจากสำนักหลัก นางก็เริ่มเดาว่าคนเหล่านั้นอาจจะอยู่ในห้องโถงด้านใน
และสำหรับที่นี่ เห็นได้ชัดว่ามันถูกสงวนไว้ให้ผู้เข้าแข่งขันรุ่นเยาว์เหล่านี้ที่เข้างานหมื่นทูรเท่านั้น
บรรยากาศในลานกว้างนั้นดูค่อนข้างแปลกจนยากจะอธิบาย
เพราะการที่ผู้เข้าแข่งขันที่มีระดับต่ำสุดได้ที่หนึ่งนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้คนอื่นๆ ไม่ค่อยพอใจเสียเท่าไร
แต่พวกเขาเหล่านี้เคยเข้าไปในอาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์เทียนลิ่งกันหมดแล้ว อีกทั้งยังได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนั้นด้วย ฉะนั้นจึงย่อมไม่สามารถปรามาตหรือให้การว่าร้ายฉู่หลิวเยว่ได้ และจะด่าว่านางโชคช่วยเลยได้ที่หนึ่ง ก็ไม่ได้อีกเช่นกัน
และนั่นก็ยิ่งทำให้ผู้เข้าร่วมคนอื่นๆ ไม่สบอารมณ์
นางเพิ่งอายุสิบสี่เองนะ!
ผู้ที่เข้าร่วมงานหมื่นทูรได้ ล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะที่มาพร้อมกับชีพจรตี้จิงอันทรงพลัง ซึ่งไม่ว่าคนคนนั้นจะไปอยู่ที่ใด ก็ย่อมกลายเป็นผู้นำโดดเด่น
หลังจากสิ้นสุดการประลอง ผลที่ออกมานั้นกระทบกระเทือนจิตใจของพวกเขาอย่างรุนแรง
และยิ่งเห็นฉู่หลิวเยว่ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกแย่
ทว่าฉู่หลิวเยว่นั้นเพิกเฉยต่อสิ่งเหล่านี้โดยสิ้นเชิง และไม่ได้เก็บมันมาใส่ใจเลยสักนิด
นางพบจุดที่ต้องการจะยืน พลางกวาดตามองทิวทัศน์โดยรอบ ด้วยสายตาแพรวพราวราวสิ่งแปลกใหม่ที่น่าสนใจ แต่นางก็ยับยั้งชั่งใจไว้ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันตามมา
“พูดเช่นนี้ แสดงว่าเจ้าคงไม่อยากมีชิวิตอยู่แล้วสินะ?”
ทันใดนั้นก็มีเสียงแหลมๆ ของแม่นางผู้หนึ่งดังขึ้นมาใกล้ๆ กับจุดที่นางอยู่
ทั่วทั้งลานกว้างเงียบสนิท
ฉู่หลิวเยว่มองตามสายตาของทุกคน ก่อนจะเห็นผู้หญิงสองคนที่กำลังเถียงกัน
เจ้าของเสียงเมื่อครู่นั้นเป็นสตรีที่อยู่ในชุดสีม่วง อายุอานามราวยี่สิบต้นๆ และดูหยิ่งผยอง
ส่วนอีกคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามนั้น เป็นเด็กสาวตัวอวบในชุดคลุมสีน้ำเงินที่ดูอายุราวๆ สิบห้าสิบหกปี พร้อมกับรอยสักรูปโถโอสถสีเงินตรงเหนือเนินอกด้านซ้าย
นางคือลูกศิษย์ของชงซูเก๋อ
ใบหน้ากลมเล็กนั่นแดงเถือก พลันกำหมัดแน่นราวกับกำลังอดทน
คนพวกนี้จงใจหาเรื่องนางชัดๆ!
ชายหนุ่มคนนั้นหัวเราะนางราวกำลังเย้ยหยัน
“เพราะอันใดน่ะหรือ?…ข้าว่าทุกคน ณ ที่นี้ย่อมรู้อยู่แล้วนะ?”
“เมื่อครู่ข้าอุส่าห์พูดดีๆ กับเจ้า เพราะต้องการเชื่อมสัมพันธไมตรี แต่ในเมื่อเจ้าโง่เขลาเช่นนี้ ฉะนั้นก็อย่ามาโทษที่ข้าหยาบคายแล้วกัน”
ชายคนนั้นชี้ไปที่ตำแหน่งด้านหลังเด็กสาวหน้ากลมและพูดว่า
“หากพิจารณาตามความแข็งแกร่งของชงซูเก๋อในตอนนี้ เจ้าคิดว่าเจ้ามีคุณสมบัติมากพอที่จะนั่งตรงนั้นหรือ? ถึงพวกเขาจะไม่พูด แต่ใครๆ ก็รู้ว่าชงซูเก๋อในตอนนี้นั้นดีแต่เปลือก? ที่นี่คือซีหลิง ความแข็งแกร่งเท่านั้น คือสิ่งที่ควรค่าแก่การเทิดทูน! แต่เพราะพวกเจ้าไม่ได้แข็งแกร่งอยากที่พูด จึงถูกผู้อื่นเหยียบย่ำได้ง่ายๆ เช่นนี้!”
แม่นางในชุดสีม่วงที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา ทำสีหน้าภูมิอกภูมิใจเสียเต็มประดา
“ศิษย์พี่ ไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับคนไร้ทางสู้ แต่ยังกล้าอวดดีเช่นนี้หรอก! แค่บอกให้พวกเขารู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของเราก็พอ!”
พันธมิตรเก้าดาราของพวกเขาแซงหน้าชงซูเก๋อไปแล้ว และที่นั่งตรงนี้ก็ควรเป็นของพวกเขา!
เด็กสาวหน้ากลมเจ็บปวดหัวใจ เสมือนมีมือที่มองไม่เห็นบีบหัวใจด้วงน้อยของนาง จนแทบขาดใจตาย เลือดนักสู้ในกายของนางพุ่งพล่านดุเดือด ราวต้องการปะทะกับคนตรงหน้า!
ทว่ามีเหตุผลหนึ่งที่คงยกเตือนใจนางอยู่เสมอ
นั่นคือ ก่อนมาที่นี่ ผู้อาวุโสลำดับสองได้กล่าวไว้ว่างานหมื่นทูรครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง และนางจะต้องไม่ก่อเรื่องเด็ดขาด
อีกทั้งตอนนี้ชงซูเก๋อก็กำลังตกที่นั่งลำบาก จึงง่ายต่อการตกเป็นเป้าหมายของผู้อื่น และถ้าเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา ก็จะยิ่งมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาอีก
ฉะนั้นนางจึงจำต้องอดทน
แต่…คนพวกนี้ดูถูกท่านอาจารย์ของนาง!
และสตรีชุดม่วงนั่นก็ไม่ใช่ลูกศิษย์อย่างเป็นทางการของพันธมิตรเก้าดาราด้วยซ้ำ! กล้าดีอย่างใดถึงได้หยิ่งผยอง!
มันคือการกลั่นแกล้งที่หมายดูหมิ่นเจ้าสำนัก!
ชายคนนั้นชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว
“ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม และเจ้าต้องมอบตำแหน่งนั้นให้ศิษย์น้องข้าทันที ไม่เช่นนั้น…”
“ไม่เช่นนั้นจะเหตุใดหรือ?”
ทว่าจู่ๆ ก็มีเสียงใสๆ ของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้น!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...