เข้าสู่ระบบผ่าน

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 664

เซี่ยมู่เงยหน้าขึ้น จากนั้นก็เห็นเป็นใบหน้าที่คุ้นเคย

แววตาของมารร้ายผู้สูงส่งยังมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น สายตาราวกับดอกท้อต้องแสงกลางเดือนสาม เป็นความอบอุ่นที่ทำให้จิตใจผู้คนหวั่นไหวมากที่สุด

หรงซิว!

เขาสวมชุดแพรสีขาว เสื้อคลุมตัวใหญ่สีดำ ใบหน้านวลเนียนราวกับแสงจันทร์ขาวยามค่ำคืน

ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก จนทำให้ได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน

ภายในรถม้ามีเตากำยานสีทองวางอยู่ มันกำลังเผาไหม้อย่างเงียบๆ จึงทำให้บรรยากาศในรถม้าทั้งคันนี้อุ่นขึ้น

เดิมทีรถม้าที่ดูกว้างขวางกลับเล็กลงไปถนัดตา

การกระทำของเซี่ยมู่หยุดชะงัก ม่านตาสีดำขลับคล้ายหมึกมีร่องรอยของความประหลาดใจพัดผ่าน

หรงซิวขยับตัวเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด ยกมือขึ้นเบาๆ จากนั้นก็ถอดหน้ากากเหล็กของเซี่ยมู่ออกอย่างง่ายดาย

ตอนที่เขาเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลไฟไหม้ แทนที่จะมีความไม่พอใจในแววตา แต่เขากลับยกยิ้มมุมปากขึ้น

“ทำได้ไม่ค่อยดีเลย ถ้ามองใกล้ๆ จะต้องมองออกอย่างแน่นอน มิน่าล่ะเจ้าถึงได้ร้อนใจเช่นนี้”

ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ เขาก็ลูบคางของเซี่ยมู่เบาๆ จากนั้นก็ค่อยๆ ลอกรอยแผลเป็นนั้นออกอย่างง่ายดาย

ใบหน้าเกลี้ยงเกลางดงาม ก็ปรากฏแก่สายตา

ถ้าไม่ใช่ฉู่หลิวเยว่แล้วจะเป็นใครได้?

หรงซิวกวาดสายตาไปบนหน้าของนางอย่างละเอียด

ไม่ได้เจอกันเพียงไม่กี่วัน เหมือนว่าเขาจะคิดถึงอีกฝ่ายแทบคลั่ง

เขาขยับนิ้วชี้เคาะเบาๆ หน้ากากเหล็กที่ทำขึ้นอย่างหยาบๆ ก็ได้กลายเป็นฝุ่นผงอย่างไร้เสียง

แค่การขยับมือเพียงเล็กน้อย ฝุ่นเหล่านั้นก็ลอยหายออกไปจากสายตา

ในตอนนั้นเองเขาก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแล้วขยับตัวพิงผนังรถ

สันกรามเรียบคม ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงอย่างชัดเจน อีกทั้งหยกคาดเอวก็ส่องประกายระยับ

เขามองไปยังแม่นางตรงหน้าที่ยังไม่ได้สติกลับคืนมาด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

“กำลังมองอันใดอยู่หรือ?”

น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและดูเกียจคร้าน ปลายเสียงสั่นเล็กน้อย เหมือนมีตะขอเกี่ยวเข้ากับหัวใจของคนฟัง ทำให้นางรู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นมา

ตอนที่พูดคุยกันนั้น ลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลงก็ดูน่าดึงดูดอย่างมาก

ฉู่หลิวเยว่จ้องมองที่กระดุมหยกเม็ดนั้น ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามันขัดหูขัดตาเล็กน้อย

ที่เขาสวมชุดเช่นนี้ มันจะไม่อึดอัดหรือ?

“หือ?”

ตอนนั้นเองฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกได้ว่าเหมือนนางจะถูกยั่วเย้าด้วยอันใดบางอย่าง

มารร้าย!

นางแอบก่นด่าอยู่ในใจ

“หึ”

ฉู่หลิวเยว่แค่นหัวเราะขึ้นจมูกมาหนึ่งเสียง แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินว่าหรงซิวกำลังพูดอันใดอยู่

“ปล่อยข้าลงนะ!”

ตอนที่ร้อนรนขนาดนี้ เขายังมีแก่ใจมาล้อเล่นอีกหรือ?

อย่างใดก็ตาม หรงซิวก็ยังวางมืออยู่ตรงเอวของฉู่หลิวเยว่ไม่ยอมปล่อย นิ้วมือของเขาขยับไปมาเบาๆ สายรัดเอวของฉู่หลิวเยว่ก็ถูกปลดออกอย่างไร้เสียง และค่อยๆ หลุดออกจากร่างของนาง

“หรงซิว?”

ฉู่หลิวเยว่อุทานเสียงเบา ก่อนจะมองไปทางเขาอย่างประหลาดใจ

การเคลื่อนไหวของหรงซิวนั้นรวดเร็วอย่างมาก เร็วเสียจนเสื้อคลุมด้านนอกข้างนางได้ร่วงไปกองที่พื้นแล้ว

“แควก”

ตอนที่เสื้อคลุมกำลังจะหลุด คาดไม่ถึงว่าเขาจะฉีกเสื้อนั้นทิ้งด้วย ชั่วพริบตาเดียวเสื้อตัวหนึ่งก็กลายเป็นเศษผ้าในทันที

ฉู่หลิวเยว่รู้สึกสับสนอย่างมาก

นี่หรงซิวกำลังทำอันใดเนี่ย?

จากนั้นเขาก็เห็นหรงซิวกำลังถอดเสื้อคลุมตัวนอกสีเทาดำออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยังปลดเสื้อคลุมสีแดงของนางออกด้วยความรวดเร็ว

ฉู่หลิวเยว่รีบคว้าข้อมือของเขาเอาไว้

นางยังไม่ทันได้พูดอันใด ทันใดนั้นที่ด้านนอกก็มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา

“หยุด!”

รอยฉีกขาดของผ้าม่านแหวกขึ้น! เงาสีดำสนิทราวขนนกพาดผ่านสายตาของเขาครู่หนึ่ง!

เจียงอวี่เฉิงขมวดคิ้วแน่น พร้อมมองเข้าไปในรถม้าคันนั้น

เมื่อมองเข้าไปเข้าก็ตกใจทันที

ในรถม้านั้นมีคนสองคนนั่งอยู่

คนหนึ่งเป็นชายสวมชุดแพรสีขาว แต่เขากำลังกอดแม่นางคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขนแน่น

ร่างกายของแม่นางคนนั้นมีเพียงเสื้อคลุมสีดำขนาดใหญ่ที่ปกปิดตั้งแต่ไหล่จรดข้อเท้า และเห็นเพียงศีรษะที่กำลังซบในอ้อมแขนของชายคนนั้น

จากมุมของเจียงอวี่เฉิงเขาเห็นเพียงผมที่ดำขลับและยุ่งเหยิงเล็กน้อยของแม่นางคนนั้น

เจียงอวี่เฉิงที่เห็นสภาพคนในรถม้าเช่นนั้น ก็สามารถเข้าใจได้ทันทีว่านี่เป็นสถานการณ์แบบไหน

เมื่อนึกถึงเงาสีดำที่ผ่านสายตาของเขาไปเมื่อครู่นี้ น่าจะเป็นเสื้อคลุมที่ชายคนนี้รีบดึงมาคลุมให้กับแม่นางคนนั้นอย่างเร่งรีบ

เขาคาดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับเรื่องเช่นนี้ ใบหน้าของเจียงอวี่เฉิงก็มืดมนยิ่งขึ้น

แต่ในทางกลับกัน หลังจากที่ชายสวมชุดขาวถูกขัดจังหวะ เขาก็ดูมีสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก เขาเหลือบสายตาขึ้นมามองอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าแววตาของเขายังมีความมึนเมาอยู่เล็กน้อย เหมือนกับกำลังตกอยู่ในห้วงวสันต์ แต่เขาก็สามารถเข้าใจได้ทันทีว่ามันกำลังเกิดเรื่องอันใดขึ้น

เขากลัดกระดุมอย่างไม่รีบไม่ร้อน จากนั้นก็ก้มหน้าลงพร้อมกระซิบอันใดบางอย่างให้สาวที่อ้อมกอดฟังอย่างอ่อนโยน จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองเจียงอวี่เฉิง

“ตระกูลเจียง? ถ้าเช่นนั้นท่านก็คงเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลเจียง?”

เจียงอวี่เฉิงกวาดสายตามองชายคนนั้นขึ้นลง แล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้

ต่อให้เขาเป็นผู้ชาย ก็ยอมรับไม่ได้เลยว่าชายชุดขาวที่อยู่ตรงหน้าเขานั้น รูปงามจริงๆ ท่าทางเย็นชาและสง่า ราวกับว่าเป็นเทวดาที่ตกสวรรค์มา

ตัวเขาเองก็เป็นคุณชายระดับสูงในซีหลิง หลายปีมานี้เขาถูกขนานนามว่าเป็น “หนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งในซีหลิง” แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าชายชุดขาวผู้นี้แล้ว ก็ยังรู้สึกด้อยไปสามส่วน

คนเช่นนี้ ถ้าหากเขาเคยเจอมาก่อน จะต้องจำได้อย่างแน่นอน

และนั่นก็หมายความว่า ชายชุดขาวผู้นี้อาจจะไม่ใช่คนซีหลิง

ตอนที่หิมะกำลังตกหนักเช่นนี้ ใครกันจะมาขับรถม้ากลางถนน? เรื่องนี้นับว่ามีปัญหาอย่างมาก!

เมื่อคิดถึงตรงหน้า สัญชาตญาณของเขาก็ตื่นตัวทันที เขาสาวเท้าขึ้นไปด้านหน้าแล้วพูดขึ้นว่า

“เจ้าเป็นใคร?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์