เมื่อจบประโยคนั้น ทุกคนล้วนตกอยู่ในความตกตะลึงและขุ่นเคือง
เดิมทีแล้วทุกคนในนี้ล้วนแล้วแต่เป็นซั่งกวนหว่านเรียกมารวมตัวกันทั้งสิ้น บัดนี้คนมากันครบแล้ว ทว่านางกลับไม่มา ซ้ำยังเรียกตัวเจียงอวี่เฉิงไปอีก นี่นับเป็นเรื่องอันใดได้?
เกิดเรื่องจวนตัว จะเป็นเรื่องอันใดที่สามารถทำให้นางละทิ้งทุกคนในนี้แล้วเรียกตัวเจียงอวี่เฉิงออกไปเพียงผู้เดียว
แม้ว่าเขาจะเป็นราชบุตรเขย สถานะสูงส่งไม่ธรรมดา การกระทำแบบนี้ดูอย่างใดก็ออกจะไม่เหมาะสมอยู่บ้างกระมัง?
ทุกคนที่นั่งอยู่ ณ ทีนี้ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อราชวงศ์เทียนลิ่งทั้งสิ้น!
ผู้คนมองหน้ากันไปมาอย่างตะลึงงัน สีหน้าค่าตาต่างก็ไม่น่าดูกันเท่าไรนัก
เจียงอวี่เฉิงเองก็ประหลาดใจเช่นกัน เขาลอบขมวดคิ้วกับตนเอง
ไม่ว่าซั่งกวนหว่านจะอวดดีและจองหองแค่ไหน ก็ยังไม่กล้ายุ่มย่ามในเวลานี้
ผู้ที่อยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นใคร ล้วนไม่สามารถล่วงเกินได้โดยง่าย
กระทั่งฝ่าบาทก็ยังต้องไว้หน้าคนเหล่านี้อยู่สามส่วน นับประสาอันใดกับองค์หญิงสามเล่า?
ถ้าหากไม่ใช่ว่านางเกิดบ้าขึ้นมา ก็ต้องเกิดเรื่องสำคัญขึ้นมาจริงๆ
เขามองฉานอี้แวบหนึ่ง ก่อนจะพบว่าแม้นางจะกดหัวคิ้วและหรี่ตาลง ทว่าดวงหน้าของนางกลับตึงเครียดเป็นอย่างมาก บริเวณหว่างคิ้วของนางปรากฏร่องรอยความวิตกกังวลอยู่บ้าง
ในใจของเขาดิ่งลงวูบหนึ่ง หมุนกายหันมองทางบรรดาผู้คน
“รบกวนขอให้พวกท่านรอสักครู่ พวกเราจะรีบกลับมาทันที”
แม้ว่าในใจทุกคนจะไม่พอใจ แต่ก็มิได้แสดงออกสู่ภายนอกอย่างเปิดเผย ทุกคนต่างก็ใจกว้างปล่อยให้เขารีบไป
ในใจเจียงอวี่เฉิงรู้ว่าครั้งนี้ล่วงเกินพวกเขาแล้ว ทว่าสถานการณ์เร่งด่วน และคงไม่มีหนทางใดที่ดีไปกว่านี้แล้ว
เขาหมุนกายมุ่งเดินไปทางตำหนักฮวาหยาง ฉานอี้รีบเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อทั้งสองจากไปแล้ว ภายในโถงใหญ่ก็กลับมาเงียบสนิทอีกครั้งหนึ่ง
ทุกคนต่างมิมีใครเอ่ยคำอันใด ทว่าในใจจริงจะมากน้อยล้วนปรากฏความไม่ชอบใจอยู่บ้าง
ซั่งกวนหว่านยังมิได้เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ คาดไม่ถึงว่าจะอาจหาญได้ถึงเพียงนี้ ให้คนจำนวนมากเช่นนี้รอนางผู้เดียว ถึงเวลาแล้วแต่กลับไม่ปรากฏตัว ซ้ำยังเรียกให้เจียงอวี่เฉิงไปหา ทิ้งให้ทุกคนแห้งเฉากันอยู่ที่นี่
ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่าบาทหรือองค์หญิงใหญ่ล้วนมิเคยกระทำการอันไม่เหมาะสมเช่นนี้มาก่อน
คนจากตระกูลใหญ่อันเก่าแก่นั้นยังไม่เท่าไร ทว่าคนจากบรรดาสำนักต่างๆ ล้วนไม่ปลาบปลื้มอย่างยิ่ง
ที่เหล่าบรรดาคณะพวกเขาบาดเจ็บล้มตายสาหัสในแดนภังคะ เดิมทีก็คิดมาหาซั่งกวนหว่านเพื่อขอคำอธิบาย ใครจะคาดคิดว่าบัดนี้แม้กระทั่งหน้านางก็ไม่ปรากฏให้เห็น?
บรรยากาศอันเคร่งขรึมและมืดมนแผ่กระจายไปทั่วห้องโถง
…
เจียงอวี่เฉิงและฉานอี้ก้าวเดินอย่างรวดเร็วมาถึงตำหนักฮวาหยาง ก่อนจะพบว่ากระทั่งในนี้ก็เต็มไปด้วยกฏอัยการศึกที่ฉาบเป็นชั้นๆ
ในใจของเขายิ่งร้อนรน มุ่งหน้าก้าวเข้าไปในตำหนัก
เมื่อเดินมาถึงประตู ฉานอี้พลันหยุดลง
“ท่านราชบุตรเขย องค์หญิงสามรับสั่งว่าท่านเข้าไปได้เพียงผู้เดียวเจ้าค่ะ”
เจียงอวี่เฉิงพยักหน้าด้วยใจสับสนวุ่นวาย ดันประตูให้เปิดออกแล้วก้าวเข้าไปในข้างใน
ทันทีที่เดินเข้าไป ฉานอี้ที่อยู่ด้านหลังก็งับประตูให้ปิดลงอีกครั้งหนึ่ง
เจียงอวี่เฉิงมีสีหน้าสงสัยเล็กน้อย
สรุปแล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ จึงทำให้ตำหนักฮวาหยางระแวดระวังตื่นตัวเช่นนี้?
“หว่านเอ๋อร์?”
เขาร้องเรียกไปครั้งหนึ่ง ทว่ากลับมิมีใครตอบรับ
เขามองไปรอบๆ ทว่าไม่เจอเงาร่างของซั่งกวนหว่าน แต่เขากลับเจอกล่องเครื่องประทินผิวที่แตกร้าวอยู่ด้านข้างกระจกทองเหลือง
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปข้างในต่อ
ถ้าหากว่าไม่ได้อยู่ในนี้ เช่นนั้นก็คงจะอยู่ในบริเวณของบ่อน้ำพุร้อนแล้ว
ทันทีที่เดินไปถึงประตู เขาที่กำลังลังเลอยู่ว่าจะเข้าไปตามหาดูหรือไม่อยู่นั่นเองพลันได้ยินเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวดสายหนึ่งแว่วมาจากข้างใน
ทั้งอ่อนแอและหดหู่ อีกทั้งยังแฝงไปด้วยความหวาดผวาล้ำลึกสายหนึ่ง
นั่นคือซั่งกวนหว่าน!
เจียงอวี่เฉิงไม่รั้งรออีกต่อไป เขาผลักประตูเดินตรงเข้าไปยังข้างใน
…
ทันทีที่เดินเข้าไป ไอน้ำร้อนชื้นก็พวยพุ่งขึ้นมา!
ที่นี่คือบ่อน้ำพุร้อนขนาดใหญ่ที่ปกคลุมด้วยหมอกไอน้ำล้อมรอบ จึงทำให้แทบมองเงาร่างคนได้ไม่ชัดเจน
ทว่าเจียงอวี่เฉิงกลับเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงพอรู้ตำแหน่งอยู่บ้าง
ท่ามกลางไอน้ำอันเลือนราง เขาเห็นเงาร่างๆ หนึ่งที่อยู่ข้างบ่อน้ำพุร้อนได้ลางๆ
“หว่านเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดไป?”
เขาเดินก้าวไปหาคนผู้นั้น
ทว่าเมื่อเดินเข้าไปใกล้ เขากลับได้กลิ่นคาวเลือดรุนแรงสายหนึ่ง!
ในคราแรก นางเพียงต้องการล้างหน้าบ้วนปากของตนเท่านั้น ทว่าผ่านไปได้ไม่นาน นางก็พบว่าร่างกายของตนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง
แสงสีเขียวเข้มน้ำทะเลสายนั้นไหลไปทุกซอกทุกมุมภายในร่างกายของนาง และร่างของนางเองก็เริ่มซูบผอมลงด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า!
ราวกับว่ากล้ามเนื้อ กระดูก และเลือดเนื้อของนางล้วนถูกของสิ่งนี้สูบกลืนไปก็มิปาน!
ซั่งกวนหว่านเคยเห็นท่าทีเช่นนี้มาก่อน ในตอนนั้นนางจึงหวาดกลัวแทบตาย
เมื่อเห็นว่าเรื่องราวไร้หนทางควบคุม นางจึงทำได้เพียงสั่งให้ฉานอี้ไปเรียกตัวเจียงอวี่เฉิงมา
“อวี่เฉิง เจ้าต้องช่วยข้า เจ้าจะต้องช่วยข้าให้ได้นะ!”
ซั่งกวนหว่านกอดแขนของเขาเอาไว้ กรีดร้องคร่ำครวญอย่างตื่นตระหนกและเจ็บปวด นางอ้อนวอนขอร้องไม่หยุดปาก
ม่านตาของเจียงอวี่เฉิงหดลงเล็กน้อย
ซั่งกวนหว่านในตอนนี้ รูปลักษณ์ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง ร่างกายซูบผอมเสียจนไม่เหลือเค้าเดิม ยามถูกกอดก็รู้สึกเจ็บไปทั่วร่างกาย ดูไปแล้วเหมือนพวกคนไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง
ถ้าไม่ใช่เพราะพลังใจของเขาแข็งแกร่ง เขาก็คงทนไม่ไหวจนจับนางโยนออกไปแล้วก็เป็นได้
ซั่งกวนหว่านกอดตรึงเขาแน่นไว้ที่เดิม ดูราวกับว่ามีเหาขึ้นตัว ทั้งคันยุบยิบ ทั้งน่าอึดอัด
“ที่ป่าหมอกมายา เจ้าคงมิได้ใช้แม่พันธุ์ต้นนั้นหรอกใช่หรือไม่?”
…
ณ ป่าหมอกมายา
ภายในพื้นที่ว่างอันมืดมิด ทั่วทั้งบริเวณเงียบสนิท
ทั่วทั้งร่างของฉู่หลิวเยว่ล้อมรอบไปด้วยพลังปราณดั้งเดิม เห็นได้ชัดว่านางแข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนหน้านี้อยู่บ้าง
เมื่อย่อยพละกำลังที่กลืนกินมาได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็ลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า
นัยน์ตาของนางแปรเปลี่ยนเป็นสว่าง กระจ่างใสมากขึ้นกว่าเดิม ร่างกายก็ผ่อนคลายอย่างมาก ทั่วทั้งร่างรู้สึกราวกับเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลังอันล้นเหลือ
องค์ไท่จู่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยชม
“หลิวเยว่ หากอดทนไปอีกสักระยะหนึ่ง เจ้าคงสามารถทะลวงขั้นสูงสุดระดับห้าได้อย่างราบรื่น”
ฉู่หลิวเยว่คลี่รอยยิ้มงาม หลังจากนั้นไม่นานก็หันไปมองทิศตรงกันข้าม แล้วหรี่ตาลง
ประกายแสงสีเขียวเข้มน้ำทะเลสายหนึ่งที่ไม่รู้มาจากที่ใดปรากฏขึ้น จากนั้นมันก็พุ่งเข้าไปหาเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยหยอกล้อ
“พลังกระดำกระด่างผสมปนเปเช่นนี้มาจากที่ใดกัน สิ่งนี้เจ้าก็จะเอาอย่างนั้นหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...