ความเกลียดชังค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉานอี้ ก่อนจะหันไปมองซั่งกวนหว่าน
“เดี๋ยวบ่าวจัดส่งนังผู้หญิงชั้นต่ำพวกนี้ไปลง…”
ทว่าซั่งกวนหว่านกลับผายมือออกมาห้ามนาง พลันยกเท้าเดินไปด้านหน้า
ทันทีที่ขาเรียวเดินย่ำเท้าผ่านเข้าไปในประตู นางก็เห็นคนรับใช้ในวังหลายคนกำลังกระซิบกระซาบกันอย่างออกนอกหน้า
“พูดกระไรกันอยู่หรือ?”
ซั่งกวนหว่านเอ่ยถามเสียงเย็น
เสียงนี้สร้างความประหลาดใจให้กับกลุ่มคนรับใช้อย่างมาก และเมื่อพวกเขาเห็นว่าเป็นซั่งกวนหว่าน ก็พลันหน้าซีดเผือดทันที และคุกเข่าลงทีละคน
“อะ องค์หญิง โปรดไว้ชีวิตบ่าวด้วยเถิด! โปรดไว้ชีวิตบ่าวด้วยเจ้าคะ!”
นางต้องได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดแน่ๆ เลย!
“เมื่อครู่นี้พวกเจ้าพูดว่า… ฉู่หลิวเยว่กลับมาแล้วหรือ?” ซั่งกวนหว่านถามเสียงเรียบ
แต่ถึงน้ำเสียงนั่นจะฟังดูสงบนิ่งเพียงใด ทว่าเหล่าคนรับใช้ที่ได้ฟังกลับรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง!
“มิ มิใช่เจ้าค่ะ… บ่าวและคนอื่นๆ ไม่ได้…”
เพี๊ยะ!
ฉานอี้ก้าวไปข้างหน้า แล้วตบนางผู้นั้นพร้อมพูดอย่างเฉียบขาด
“องค์หญิงทรงตรัสถามพวกเจ้าเพียงนี้! ก็จงพูดความจริงออกมาให้หมด! ถ้าโกหกแม้แต่นิดเดียว ข้าจะตัดลิ้นพวกเจ้าเสีย!”
ฉานอี้นั้นถือว่าเป็นคนใช้ที่ทรงอำนาจมานานแล้ว ไม่มีบ่าวในวังคนใดไม่รู้ถึงความโหดร้ายและความไร้ปราณีของนาง ในใจพวกเขาหวาดกลัวนางอย่างมาก
และยิ่งเห็นนางลงมือเช่นนี้ พวกเขาก็ยิ่งกังวล แล้วฉะนี้พวกเขาจะกล้าโกหกได้เยี่ยงไร?
หลังจากนั้น เหล่าบ่าวไพร่ก็เริ่มพูดในสิ่งที่ได้ยินมาอย่างหมดเปลือก
ซั่งกวนหว่านยิ่งฟัง ก็ยิ่งแผ่ไอเย็นยะเยือกออกมา
“พวกเจ้าไปได้ยินข่าวนี้มาจากที่ใด?”
“คะ… คือว่า… อันที่จริง มีข่าวลือมากมายแพร่กระจายไปทั่ววัง และพวกบ่าวก็บังเอิญไปได้ยินเรื่องนี้เข้าเจ้าค่ะ… บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ องค์หญิง!”
เหล่าคนรับใช้ล้วนรู้ดีว่าพวกเขาทำผิด
ทว่ายามนี้แล้ว อย่าว่าแต่ในพระราชวังเลย แม้กระทั่งประชาชนในเมืองซีหลิงเอง ก็เกรงว่าอาจจะกำลังพูดถึงสิ่งเหล่านี้อยู่ก็เป็นได้!
แต่มีแค่พวกเขาที่ถูกจับได้เช่นนี้…
หากองค์หญิงสามต้องการลงโทษจริงๆ แล้วนางจะคิดลงโทษกันได้อย่างใด?
เปลือกตาของซั่งกวนหว่านกระตุกอย่างรุนแรง
เหตุใดนางจะไม่รู้ว่าบ่าวไพร่พวกนี้ต้องการจะสื่ออันใด?
กล่าวอีกนัยก็คือ ความจริงทุกคนรู้เรื่องของฉู่หลิวเยว่กันหมดแล้ว และมีแค่นางที่ไม่รู้อันใดเลย!
ในช่วงสองวันที่ผ่านมา นางหายไปจากโลกภายนอกเพื่อฟื้นฟูชีพจรดั้งเดิมของตัวเอง แต่นางคิดไม่ถึงว่าจะมีเหตุการณ์ใหญ่โตเช่นนี้เกิดขึ้น!
ฉานอี้เริ่มตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ และรีบเอ่ยขออภัย
“องค์หญิงเจ้าค่ะ ทั้งหมดเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของบ่าว…”
เนื่องจากนางต้องเฝ้าอยู่ด้านนอกตำหนักฮวาหยางตลอดเวลา แม้แต่ประตูวังก็ยังมิมีโอกาสออกไปด้วยซ้ำ อีกทั้งเหล่าลูกน้องเองก็หวาดกลัวนางมาก ฉะนั้นแล้ว จักมีผู้ใดกล้านำข่าวนี้มาบอกนางกันเล่า?
สรุปแล้วซั่งกวนหว่านจึงกลายเป็นคนสุดท้ายที่รู้หลังจากทุกคน
สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปสองสามครั้ง ก่อนจะหันหลังและจากไป
ฉานอี้โพล่งถามทันที
“องค์หญิงเจ้าค่ะ แล้วเรื่องฝ่าบาท…”
อุตส่าห์เดินทางมาถึงตำหนักชิงเฟิงแล้ว องค์หญิงมิได้วางแผนจะเข้าไปดูหรอกหรือ?
ซั่งกวนหว่านยิ้มเยาะ
“ข้ามีเรื่องด่วนกว่านั้นที่ต้องจัดการ ไปเสีย จงไปเชิญฉู่หลิวเยว่เข้าวังเดี๋ยวนี้! บอกนางว่าข้า…มีรับสั่งให้นางเข้ามารักษาท่านพ่อ!”
นางมีทั้งอสูรศักดิ์สิทธิ์ ทั้งบัวระบำ…
ในเมื่อฉู่หลิวเยว่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น ซั่งกวนหว่านก็จักใช้งานนางอย่างดี!
…
ภายในเมืองซีหลิง
ณ จวนขนาดกลางย่านถนนลิ่วอวิ๋น ฉู่หลิวเยว่กำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่าง และเล่นหมากรุกอยู่คนเดียว
แนวการวางเบี้ยสีขาวนั้นช่างป่าเถื่อน แต่แล้วมันก็ถูกเบี้ยสีดำปิดล้อมไว้อย่างเงียบๆ
หากฟันเฉือนลงเพียงครั้งเดียว เจ้าเบี้ยสีขาวก็จักจบชีวิตได้อย่างง่ายดาย
“น่าเบื่อเสียจริง…”
ฉู่หลิวเยว่พึมพำ
การเล่นหมากรุกกับตัวเองนั้นไม่สนุกเลย
ถ้าหรงซิวอยู่ที่นี่ด้วยล่ะก็…
ทันใดนั้นเอง เชียงหว่านโจวก็เดินเข้ามาพร้อมชาขิงถ้วยใหม่ แทนถ้วยเก่าที่เย็นชืดอยู่ข้างกายนาง
เชียงหว่านโจวเดินตามหลังทั้งสอง พลางขมวดคิ้วมุ่น
ตลอดสองวันที่พวกเขากลับมาอยู่ที่ซีหลิง ฉู่หลิวเยว่มักจะพักที่นี่ เว้นเสียแต่คืนแรกที่พวกเขาไปพักในสำนักชงซูเก๋อ
ซึ่งขณะอยู่ที่นี่ กิจวัตรหลักๆ ของนางก็มีแค่เล่นหมากรุกและอ่านตำรา พักผ่อนหย่อนใจอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดๆ ราวกับนางไม่รู้ว่าคนข้างนอกกำลังพูดถึงตัวเองอย่างใด
ในชั่วข้ามคืน ข่าวที่น่าตกใจดังกล่าวแพร่กระจายไปทั่วซีหลิง แต่ถ้าจะให้พูดว่าเรื่องนี้ไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลังล่ะก็ ใครมันจะไปเชื่อ
แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าแท้จริงแล้ว ผู้ที่คอยบงการอยู่เบื้องหลังก็คือ ฉู่หลิวเยว่!
แถมวันนี้พวกฉินอีก็เคาะประตูถึงที่อีก!
ซึ่งถ้าพูดตามหลักแล้ว มันควรจะเป็นครั้งแรกที่พวกเขามาที่นี่ แต่ไฉนพวกเขาถึงดูคุ้นเคยกับที่นี่นัก
พวกเขารู้ว่าต้องเดินไปทางใด หรือว่าตรงจุดใดมีเครื่องใช้วางอยู่ และแทบไม่จำเป็นต้องให้เชียงหว่านโจวนำทางเลย
เชียงหว่านโจวขบเม้มริมฝีปากตัวเอง
ก่อนหน้านี้เขาสังเกตเห็นว่า สองคนนี้ชอบทำตัวเสมือนเคยรู้จักฉู่หลิวเยว่มาก่อน
แถมทั้งสองคนก็ยังแสดงท่าทีเคารพนางมากด้วย
คนทั่วไปอาจไม่ได้สังเกต แต่เชียงหว่านโจวที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนกับเรื่องแบบนี้ ย่อมสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นฉินอีหรือพี่เหลยสี่ ต่างก็แข็งแกร่งด้วยกันทั้งคู่
แต่ฉู่หลิวเยว่นั้นอ่อนหัดกว่าพวกเขามาก ซึ่งพูดตามตรงว่า พวกเขาไม่ควรวางตัวเช่นนั้นกับฉู่หลิวเยว่
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องไก่ฟ้าเก้าสี ที่พวกเขาพยายามปกป้องมันสุดชีวิต แต่ก็ถูกฉู่หลิวเยว่ช่วงชิงไปหลังจากทะลวงขอบเขตพลังปราณผ่าน…
และการประติดประต่อเรื่องทุกอย่างเข้าด้วยกัน ก็ทำให้คนที่ยืนคิดอยู่ตรงนี้ถึงกับตกตะลึง!
เชียงหว่านโจวรู้ว่า มันต้องมีความลับที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่แน่ๆ!
หลายคนเดินเข้ามา และในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงห้องโถงด้านหน้าที่มีฉู่หลิวเยว่นั่งรออยู่
เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหว ฉู่หลิวเยว่ก็เงยหน้าขึ้นและยิ้มให้ทั้งสองคน
“บังเอิญจริงที่พวกเจ้ามาที่นี่ เมื่อครู่ข้าเพิ่งพูดเลยว่าจะไปหาพวกเจ้า”
ฉินอีกวาดตามองกระดานหมากรุกตรงหน้า แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ
องค์หญิงนี่ชอบพูดจาชวนขำขันไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ
ดูก็รู้ว่านางกำลังรอให้พวกเขามาที่นี่ด้วยตัวเองต่างหาก
มุมปากงามยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม พลางหันมองไปยังเชียงหว่านโจวที่กำลังจะเดินออกไป
“เสี่ยวโจว เจ้าเองก็เข้ามาคุยกับพวกเราด้วยสิ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...