เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของฉู่หลิวเยว่ เจียงอวี่เฉิงก็เลือกที่จะเงียบ
เขาปิดปากแน่นและไม่ยอมพูดอันใด พลางทำทีมองไปทางอื่นและหันไปรอบๆ ราวกับไม่ต้องการที่จะสนทนากับฉู่หลิวเยว่อีกต่อไป
เปรี๊ยะ!
ฉู่หลิวเยว่ดีดนิ้ว!
พลันมีเปลวไฟสีแดงเข้มพุ่งขึ้นจากนิ้ว และเผาไหม้ภาพวาดนั้นในบัดดล!
เมื่อเจียงอวี่เฉิงได้ยินเสียง เขาก็หันศีรษะไปมองทันที และพอเห็นฉากนี้ เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาก็กระตุกถี่อย่างรุนแรง!
“ในเมื่อเจ้าไม่อยากพูดถึงมัน ก็ไม่ต้องพูด ส่วนภาพวาดนี้…เจ้าควรจะเผามันทิ้งตั้งแต่วันที่เจ้าตัดสินใจฆ่าข้า”
น้ำเสียงของฉู่หลิวเยว่ฟังดูเย็นชาและเด็ดขาด
การเห็นภาพนี้มีแต่จะทำให้นางสะอิดสะเอียนมากกว่าเดิม
นางไม่รู้หรอกว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาแสร้งทำเป็นหลงใหลผู้ใดอยู่?
ทว่าตราบใดที่เขาจริงใจต่อนาง เขาจะไม่ทำสิ่งเหล่านั้นตั้งแต่แรก
ปลิ้นปล้อนสิ้นดี ช่างน่าขำ!
ภาพวาดผืนนั้นถูกไฟเผาไหม้อย่างรวดเร็วและกลายเป็นเถ้าถ่านในที่สุด!
เมื่อแสงเจิดจ้าเสมือนดวงดาราของเปลวเพลิงดวงสุดท้ายดับลง ก็มีคลื่นอารมณ์บางอย่างผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเจียงอวี่เฉิงแวบหนึ่ง
ดูเหมือนเขาจะต้องการคว้าภาพวาดนั่นไว้ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ทำ
ฉู่หลิวเยว่มองเขาอย่างมีนัยยะ ก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากไป
ครั้นพ้นร่างของนาง บรรยากาศในห้องโถงก็กลับคืนสู่ความเงียบอีกครา
แต่ไม่นานนัก ก็มีเสียงร้องตะโกนโหยหวนและน่าสลดใจ ดังขึ้นจากห้องโถงใหญ่ที่อยู่ถัดไป
ร่องรอยความรังเกียจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจียงอวี่เฉิงทันควัน
เพราะนั่นคือเสียงร้องอันทุกข์ระทมของซั่งกวนหว่าน ดูเหมือนจักถึงเวลาที่นางจะต้องทนทรมานอีกครั้ง
เกือบทุกวันจะมีเสียงตะโกนแบบนี้ดังขึ้นเป็นระลอก
ซึ่งเขาไม่ต้องเห็นก็สามารถจินตนาการได้ไม่ยาก ว่าเจ้าของเสียงนี้กำลังพบกับความเจ็บปวดแสนสาหัสขนาดไหน
แต่จู่ๆ เจียงอวี่เฉิงก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อนในหัวใจ ใบหน้าของเขาซีดเซียว ก่อนจะค่อยๆ ก้มหน้าลง
…
หลังจากจัดการกับเรื่องเหล่านี้แล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็วางแผนจะกลับไปยังตำหนักเจาเยว่เสียก่อน
แม้ว่าตอนนี้สถานะของนางจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่นางก็ยังคงอาศัยอยู่ในห้องบรรทมเดิม
และทันทีที่ขาเรียวเดินไปถึงประตูของตำหนักเจาเยว่ ดวงตากลมสวยก็มองเห็นร่างที่คุ้นเคย
เชียงหว่านโจว
ดูเหมือนว่าเขากำลังรอนางอยู่ และเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าย่างกรายเข้าไป เขาก็เงยหน้าขึ้น
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ก่อนจะเดินเข้าไป
“เสี่ยวโจว เหตุใดเจ้าจึงกลับมาเร็วนัก?”
ก่อนหน้านี้นางวานขอให้เชียงหว่านโจวไปทำธุระบางอย่างแทนตัวเอง… ซึ่งก็คือการกลับไปยังแคว้นเย่าเฉิน แล้วพาฉู่หนิงมาที่นี่
ครั้นออกมาจากแคว้นเย่าเฉิน ฉู่หนิงรับรู้เพียงว่านางเดินทางมายังราชวงศ์เทียนลิ่งพร้อมมู่ชิงเห่อ แต่เขาไม่รู้ว่านางกลับมาเพื่อแก้แค้น ซึ่งแน่นอนว่าเขาย่อมไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของนาง
ทว่ายามนี้พายุได้สงบลงแล้ว นางจึงวางแผนที่จะเชิญฉู่หนิงมาที่นี่และบอกความจริงของเรื่องนี้ให้เขาได้รู้ว่าโนเวล-พีดีเอฟ
ฉู่หลิวเยว่คนก่อนนั้นได้เสียชีวิตแล้ว และผู้ที่อาศัยอยู่ในร่างนี้ก็คือจิตวิญญาณของนางที่เข้ามาแทนที่
แม้ว่ามันจะโหดร้ายเกินไปสำหรับผู้เป็นบิดา แต่สุดท้ายมันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เนื่องจากในปัจจุบัน นางได้กอบกู้สถานะที่แท้จริงในราชวงศ์เทียนลิ่งคืนมาแล้ว จะให้นางแกล้งทำเป็นฉู่หลิวเยว่บุตรสาวคนเดิมของเขาต่อไปเรื่อยคงไม่ได้
แต่นางก็คิดมาแล้วว่า หากฉู่หนิงยินยอม นางก็จะเป็นบุตรสาวให้เขาไปตลอดชีวิต
ไม่ว่าสุดท้ายแล้วเขาอยากจะอยู่ที่ซีหลิง หรือกลับไปที่เย่าเฉิน นางก็จะเคารพการตัดสินใจของเขาและพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อติดตามและดูแลเขา
หลังจากเกิดใหม่ ถึงนางจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับฉู่หนิงได้ไม่ถึงปี แต่ในใจของนางก็ถือว่าฉู่หนิงเป็นพ่อที่แท้จริงของตนไปแล้ว
ทว่าเมื่อเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเชียงหว่านโจว ฉู่หลิวเยว่ก็ตระหนักได้ทันทีถึงการแสดงออกของเขาดูผิดปกติไปจากเดิม
หัวใจดวงน้อยร้อนรนขึ้นมาทันที
ก่อนจะได้ยินเชียงหว่านโจวพูดว่า
“ใต้เท้าฉู่หนิงไม่อยู่แล้ว”
…
ภายในห้องทรงงานของตำหนักเจาเยว่ มีเพียงความเงียบงัน
ฉู่หลิวเยว่นั่งประจำลงบนเก้าอี้ประจำกาย ในขณะที่เชียงหว่านโจวยืนห่างจากนางไปห้าก้าว
บรรยากาศในห้องอัดแน่นไปด้วยความเย็นเยียบ ประหนึ่งถูกแช่ให้กลายเป็นน้ำแข็งทีละนิด!
เขาคิดทบทวนอย่างรอบคอบ
“ไม่น่า…”
เมื่อเขาเปิดปากของเขา ดูเหมือนว่าเขาจะนึกถึงบางสิ่งในทันใด และสีหน้าของเขาก็แข็งทื่อ
“ก่อนหน้านี้พระบิดามารดาของคุณหนูมู่เคยเขียนจดหมายส่งมาหนึ่งฉบับขอรับ แต่ข้าน้อยได้มอบมันให้ท่านชายเจี่ยนไปแล้ว มิทราบว่าข้างในนั้นเขียนสิ่งใดไว้หรือขอรับ?”
ฉู่หลิวเยว่คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินออกไปข้างนอก
…
ฉู่หลิวเยว่มุ่งหน้าไปยังภูเขาเขี้ยวมังกรด้วยความว่องไว
และเมื่อถึงเชิงเขา เหล่าศิษย์ที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่ก็ต่างพากันหยุดผู้มาใหม่ไว้ แต่ก็จำต้องชะงักเมื่อคนผู้นั้นถอดผ้าคลุมศีรษะออก เผยให้เห็นใบหน้าอันงดงามเกินใคร
“เจี่ยนเฟิงฉืออยู่ที่ใด?”
เมื่อก่อนฉู่หลิวเยว่เคยมาเยือนที่นี่แล้ว ไหนจะงานประลองหมื่นทูรและการประชุมสำนักวิชาครั้งก่อน รวมทั้งกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้มีคนรู้จักนางไม่น้อย
อีกทั้งการเปิดเผยสถานะที่น่าอัศจรรย์ของนางไปเมื่อเร็วๆ นี้อีก ผู้คนทั่วทั้งซีหลิงล้วนจับเข่าพูดคุยเรื่องนี้กันไม่ว่างปาก แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่านางจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ตอนนี้!
“ถวายบังคมองค์หญิง…ฝ่าบาท พ่ะย่ะค่ะ!”
ทั้งสองคนรีบทำความเคารพ ทว่าพอตะโกนไปได้ครึ่งหนึ่ง พวกเขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตอนนี้นางกลายเป็นจักรพรรดิไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาเลยต้องรีบเปลี่ยนคำขานทันที
“วันนี้ท่านชายอยู่บนภูเขาพอดี เช่นนั้นข้าน้อยจักนำทางพระองค์ไปเองพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไร ข้าจะขึ้นไปเอง”
สิ้นสุรเสียง ฉู่หลิวเยว่ก็พรวดพราดมุ่งหน้าขึ้นเขาไปทันควัน
ทว่าเมื่อเดินขึ้นไปบนภูเขาได้ครึ่งทาง นางก็พบกับมู่หงอวี่
พอเห็นฉู่หลิวเยว่ มู่หงอวี่ก็พลอยมีความสุขมาก
“หลิวเยว่! เจ้ามาได้อย่างใด!?”
นางย่ำเท้ากว้างๆ สองสามก้าวพุ่งตัวไปหาอีกฝ่าย แต่ครั้นกำลังจะกระโจนใส่ฉู่หลิวเยว่ นางก็พลันหยุดชะงักอย่างรวดเร็ว
นางเกือบลืมไปเลยว่าหลิวเยว่ในตอนนี้ ไม่ใช่หลิวเยว่คนเดิมแล้ว
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับคว้ามือของนางไว้
“ก่อนหน้านี้ที่บิดามารดาของเจ้าส่งจดหมายมาให้ พวกท่านได้พูดถึงพ่อของข้าบ้างหรือไม่?”
————————————————————–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...