นี่ยังไม่นับที่อู๋เป่ยกินขาหมูชิ้นใหญ่ยักษ์เข้าไปอีก จนปากของเขามันแพรพไปด้วยน้ำมัน
“ว้าว!พวกเธอมาดูนี่เร็ว พระเจ้าศักดิ์สิทธิ์กินขาหมูด้วยแหละ!”
“สุดยอดจริงๆ พระเจ้าศักดิ์สิทธิ์นั้นช่างทรงพลังมาก ปกติแล้วขาหมูที่ใหญ่ขนาดนี้ต้องแบ่งคนทั้งเมืองถึงจะกินหมด!”
“ใช่น่ะสิ ก่อนหน้านี้พี่ชายของฉันน่ะกินไปห้าสิบกรัม ก็อิ่มเสียจนกินอะไรไม่ได้ไปเจ็ดวันเลยล่ะ ผ่านไปวันที่แปดถึงจะกลับมากินเนื้อได้อีก”
“สมกับที่เป็นพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราจริงๆ มีปากท้องที่ดีถึงเพียงนี้ช่างสอดมากจริงๆ”
อู๋เป่ยกลับไม่รู้เลยว่าสำหรับที่ที่นั้นการที่สามารถกินได้เยอะทำให้ทุกคนต่างอิจฉาและถือเป็นเรื่องที่สุดยอดมาก ดังนั้นการที่เขากินอาหารทั้งหมดบนโต๊ะไป ไม่ว่าจะเป็นข้าวสวยสามถ้วย แกะสองตัว ไก่แปดตัว และยังมีซุปอีกสองหม้อที่กินจนหมดนั้น ทำให้ทุกคนต่างชื่นชมเขาไม่หยุดหย่อน
เมื่อเขาเดินออกมาจากห้องอาหาร ทุกคนล้วนพากันหัวเราะเฮอๆ และเป็นซิงลั่วอวี่ที่เอ่ยขึ้น “พระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ขอรับ รถม้าได้เตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว พวกเราออกเดินทางกันเลยไหมขอรับ?”
อู๋เป่ยส่งเสียง “อืม” เป็นการตอบรับ และกล่าวต่อ “ได้ ออกเดินทางเลย”
เมื่อกล่าวจบ เขาก็กางร่มและพาถังจื่อยี่ขึ้นไปบนรถม้าที่ใช้ม้าถึงสี่ตัวในการลากจูง ม้าเหล่านี้ล้วนเป็นสีขาวทั้งหมด ภายในรถม้าก็กว้างขวางและตกแต่งอย่างหรูหรา ไม่เหมือนสิ่งที่เมืองเล็กๆเช่นนี้จะมีเลย
ซิงลั่วอวี่เป็นผู้บังคับม้าด้วยตนเอง เขาหัวเราะออกมาพร้อมกับเอ่ยขึ้น “พระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ขอรับ รถม้านี้ได้เตรียมไว้มาทั้งปี เพื่อรอการปรากฏตัวของท่าน จริงๆแล้วในตอนแรกได้เตรียมรถม้าที่ใหญ่กว่านี้ไว้ที่มีม้าแปดตัว ทว่าม้าสีขาวเช่นนี้นั้นหายากมากแล้ว หลังจากนั้นจึงค่อยๆลดลงมาจนเหลือสี่ตัวขอรับ”
อู๋เป่ยตอบกลับ “ไม่เป็นไรหรอก ม้าสีตัวก็ดีเหมือนกัน”
ม้าพวกนี้นั้นเดินเร็วจนเกือบจะเหาะได้ จนผ่านหุบเขาไปลูกหนึ่ง เมื่อผ่านเขามาแล้วก็มุ่งหน้าต่อไปยังขององครักษ์ ซึ่งผ่านไปครึ่งชั่วโมง อู๋เป่ยก็เริ่มเห็นเข้ากับด้านหน้าของเมืองแห่งองครักษ์
เมืองๆนี้ไม่ถือว่าใหญ่มากนัก ที่นี่ไม่ได้มีกำแพงเมืองแต่อย่างใด เพราะที่นี่ไม่ได้จำเป็นต้องป้องกันศัตรูจากภายนอก ที่ด้านนอกมีบ้านเมืองล้อมรอบอยู่ และถัดเข้าไปถึงจะเป็นเมืองหลัก
ในขณะที่กำลังจะเข้าไปในเมือง ซิงลั่วอวี่ก็ได้หยิบดอกไม้ไฟออกมา และชูขึ้นไปบนท้องฟ้า จนเกิดเป็นวงแสงลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นเกิดเสียง “บึ้ม” ดังสนั่นหวั่นไหวและเกิดสีกว่าสิบสีออกมา
ทันใดนั้น ทั้งเมืองก็เกิดความตื่นตระหนกขึ้น เหล่ามหาเทพและราชานักบวชต่างๆพากันออกมาต้อนรับอู๋เป่ย
รถม้าของอู๋เป่ยเริ่มชะลอความเร็วลง และเดินทางต่อไปทางเหนือของเมืองหลัก ซึ่งมีองครักษ์กว่าสามพันนายรอต้อนรับอยู่ พวกเขาจัดแถวกันเป็นสี่เหลี่ยมอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และคุกเข่าลง
“ยินดีต้อมรับพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ขอรับ !” ทุกคนพร้อมใจกันเปล่งเสียงต้อนรับออกมาอย่างพร้อมเพรียง
เมื่อเห็นองครักษ์เหล่านี้ อู๋เป่ยก็หัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับเดินลงจากรถม้า “ทุกคน ยืนขึ้นเถอะ!”
องครักษ์ทั้งสามพันนายลุกขึ้นยืน แต่ละคนล้วนยืนน้ำตาคลอมองไปยังอู๋เป่ย
อู๋เป่ยเห็นถึงอารมณ์ของเหล่าพวกเขาจากดวงตา จึงเอ่ยขึ้น “ผมเป็นพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ของพวกคุณ ผมจะพยายามขึ้นเป็นเทียนเชิงให้เร็วที่สุด สืบทอดการเป็นจักรพรรดิแห่งสวรรค์แลพสร้างศาลสวรรค์ขึ้นมาอีกครั้ง!”
“พระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ไร้เทียมทาน!”
“พระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ไร้เทียมทาน!”
เหล่าองครักษ์ทั้งสามพันนายพร้อมใจกันส่งเสียง
อู๋เป่ยเอ่ยถามขึ้นท่ามกลางทุกคน “ใครเป็นผู้นำในกลุ่มของพวกคุณ?”
ชายคนหนึ่งลุกขึ้นยืน ลมปราณของเขาอยู่ระหว่างจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์และราชานักบุญ เขายกมือทำความเคารพและตอบกลับ “กระผมว่านจวินผู้ใต้บังคับบัญชา ขอคาราวะพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ขอรับ !”
อู๋เป่ยพยักหน้า “ว่านจวิน ถึงแม้ผมจะเป็นพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ แต่ผมยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่ สิ่งที่ต้องทำต่อไปคงต้องยกให้คุณช่วยวางแผน”
ว่านจวินตอบกลับ “น้อมรับพระบัญชาขอรับ!”
อู๋เป่ยหันไปพูดกับถังจื่อยี่ “จื่อยี่ เธอไปเลือกไว้ข้างกายสักหน่อย”
ถังจื่อยี่พยักหน้า “ได้ ฉันจัดการเอง“
นางกำนัลเหล่านี้ ล้วนเป็นลูกหลานของพวกองครักษ์และพวกนางกำนัลสมัยก่อน ดังนั้นพวกเธอจึงได้รับการเลี้ยงดูมาเพื่อเป็นนางกำนัลตั้งแต่เด็ก พวกนางเหล่านี้ก็ได้การคัดออกมาจากทั้งหมดอีกที จึงสามารถพูดได้เลยว่าพวกนางนั้นมีความสมบูรณ์แบบมาก
อายุของพวกนางกำนัลเหล่านี้มีตั้งแต่เด็กที่อายุสิบห้าสิบหกปีไปจนถึงสิบเก้ายี่สิบ ทุกคนล้วนมีหน้าตาและการแต่งกายที่สวยงาม พวกเธอล้วนหวังว่าจะถูกเลือกจากพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์
ถังจื่อยี่เลือกมายี่สิบสี่คนจากทั้งหมด พวกนางล้วนว่านอนสอนง่าย
ช่วงไม่กี่วันนี้ อู๋เป่ยได้เข้าใจเกี่ยวเมืององครักษ์มากขึ้น ด้วยเพราะในเมืองนี้มีองครักษ์เป็นผู้ดูแล ดังนั้นตำแหน่งที่ใหญ่ที่จึงเป็นหัวหน้าองครักษ์ ซึ่งภายใต้การดูแลของเขานั้น ทำให้ที่นี่ราวกับเมืองในอุดมคติ เนื่องจากไม่การกดขี่ข่มเหง ซึ่งแน่นอนว่ามีแต่ผู้ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะทำได้ ถ้าลองกลับกันเป็นคนธรรมสภาพคงจะเป็นคนละเรื่อง
วันที่สองหลังจากนั้น เขาก็ได้มีคำสั่งให้คนออกไปเก็บวัตถุดิบที่ใช้ทำยามา ดังนั้นจึงมีคนนับล้านที่ออกไปค้นหาวัตถุดิบทำยา
ซึ่งคนเหล่านี้ก็ไม่ได้รู้เลยว่าส่วนผสมที่ใช้ทำยามีอะไรบ้าง บางคนก็เก็บหญ้ามาแล้วนำไปให้อู๋เป่ย เวลาผ่านไปจนถึงตอนบ่ายในวันนั้น ที่ด้านหน้าของเขาก้เต็มไปด้วยส่วนผสมยามากมาย กองกันจนเป็นภูเขาขนาดย่อม
เขาใช้สายตาสำรวจดูก็พบว่ามีหลายอย่างมากที่ไม่ใช่ส่วนผสมของยา เขาจึงสะบัดมือออกไปแยกหญ้าพวกนั้นไปอีกฝั่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือทั้งหมดนั้นลอยอยู่ในอากาศ และลอยมาตรงหน้าเขา
เมื่อได้ส่วนผสมยาที่เหมาะสมแล้ว เขาก็ดมเล็กน้อยเพื่อให้สามารถสัมผัสได้ถึงสรรพคุณของยา จากนั้นก็พิจารณาว่าจะเก็บไว้หรือไม่
เขาอยากรู้ส่วนผสมยาพวกนี้ที่เติบโตมาจากแสงอาทิตย์จากจักรวาลหลัก และพลังงานที่ดูดซับมาจากจักรวาลหลักดังนั้นมันจึงพิเศษมาก
ผ่านไปสองวัน อู๋เป่ยได้คัดเลือกส่วนผสมยามากว่าสามร้อยหกสิบเจ็ดชนิด จากนั้นก็ให้คนมาจดส่วนผสมพวกนี้ไว้ และออกไปหาต่อ ในครั้งนี้สามารถหาส่วนผสมมามากกว่าเดิมเยอะมาก
ในขณะที่ผู้คนออกไปหาส่วนผสมยานั้น เขาก็ได้มาถึงพระราชวังจักรพรรดิแห่งสวรรค์ในที่สุดโดยได้รับการช่วยเหลือจากราชานักบุญสองสามคน

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดคุณหมอตาวิเศษ
เรื่องนี้ไม่มีเปิดให้อ่านฟรีประจำวันแล้วเหรอครับ *-*...
ทำไมบางตอนถึงสั้นจังครับ...
เสียตังด้วยออ...
ก็แค่นิยายก๊อปปี้เนื้อเรื่องกันไปมาทำไมต้องเสียตังอ่าน😛😛😛...
ชอบอ่านฟรีมากกว่า555...
เวปนี้เสียเงินด้วยหรือผมอ่านมาหลายเรื่องแล้วผึ่งมาเจอระยะหลังต้องเสียเงิน...
น่าจะมีหักทาง ทรูมันนี่วอเล็ตบ้างนะคับ...
ใครเคยเติมบ้างแล้วครับ เติมแล้วเป็นอย่างไรบ้าง...
แล้วเติมเหรียญยังงัย...
อ่านมาเพิ่นๆหลังๆมาเสียตังซะแล้ว...