ยอดคุณหมอตาวิเศษ นิยาย บท 37

อู๋เป่ยค่อนข้างพอใจ นับจากนี้น้องสาวไปโรงเรียนหรือเขาเดินทางไปไหนก็สะดวกขึ้นมาก และต่อจากนี้กังจื่อก็จะมาเป็นคนขับรถของเขา เขาขับรถไมบัคไปรับเสี่ยวเหมยที่โรงเรียน

เมื่อเขาไป กังจื่อก็กลับมาบ้านด้วยความโมโห และได้เห็นชี่แท้ของหวงจื่อเฉียงกำลังปะทุ เขาเลื่อนขั้นแล้ว!

เขาไม่กล้าพูดจา ได้แต่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างสงบ หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง หวงจื่อเฉียงลืมตาขึ้น กล่าวอย่างเรียบๆ ว่า “ในที่สุดวิชาต้าโจวเทียนก็สมบูรณ์แล้ว ไม่ง่ายเลย!”

“ยินดีด้วยครับท่านอาจารย์!” กังจื่อกล่าวอย่างยินดี

และพูดต่อว่า “อาจารย์ อู๋เป่ยให้ผมเป็นคนขับรถให้มัน!”

“ทำไม แกขับรถไม่เป็นเหรอ?” หวงจื่อเฉียงถามด้วยสีหน้าบึ้งตึง

กังจื่องงงวย ตอบ “เป็นสิครับ”

“กังจื่อ แกต้องเคารพเจ้านายเหมือนที่เคารพอาจารย์ เข้าใจไหม?” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มงวด ไม่เคยขึงขังขนาดนี้มาก่อน

กังจื่อตกใจ “อาจารย์ แต่ว่า”

“ไม่มีแต่ นับแต่นี้ไป เขาคือเจ้านายของพวกเรา” เขาพูดไปทีละคำ “ถ้านายรู้สึกน้อยใจ ก็ไปซะตั้งแต่ตอนนี้ แต่แกจะไม่นับเป็นลูกศิษย์ฉันอีก”

กังจื่อรีบตอบกลับด้วยความกลัวว่า “อาจารย์ ผมผิดไปแล้ว เอาตามท่านว่าเลย”

หวงจื่อเฉียงพึงพอใจ “กังจื่อ แกจำเอาไว้ นายท่านเก่งกาจไม่อาจคาดเดา ถ้าเราตั้งใจทำงานให้เขา เขาไม่มีทางปฏิบัติต่อเราอย่างไม่ยุติธรรมหรอก”

อู๋เป่ยขับรถไมบัคมายังโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งของเขต ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียน จึงมีรถมากมายที่รอนักเรียนเลิกจอดอยู่หน้าประตู

“เอ๋ ตรงนั้นมันรถไมบัคนี่ ของใครกัน?”

เขตหมิงหยางเป็นพื้นที่เล็กๆ คนที่สามารถขับรถราคาสองล้านกว่ามีไม่มากนัก แค่สิบกว่าคันเท่านั้น จึงตกเป็นเป้าสายตาอย่างยากจะเลี่ยง

อู๋เป่ยลงจากรถไปรอที่หน้าประตู

ขณะนั้นเอง คู่สามีภรรยาวังจิงเฉิงที่ใส่ร้ายอู๋เป่ยคราวก่อนก็ปรากฏตัวขึ้น ทั้งสองคนดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะวังจิงเฉิง ไม่รู้เป็นเพราะอะไร จู่ๆ ก็มีอาการปากเบี้ยวตาไม่เท่ากัน ทุกวันนี้หัวหน้าไม่อยากเห็นหน้าเขา ลูกน้องหัวเราะเยาะเขา หดหู่ใจจนอยากตายทุกวัน

เขาไปหาหมอชื่อดังมาไม่น้อย แต่ทุกคนไม่มีวิธีรักษา กลับเป็นยิ่งรักษายิ่งรุนแรง ในเช้าวันนี้เอง หัวหน้าเรียกเขาไปคุย อยากให้เขาเกษียณในหน่วยงาน

วังจิงเฉิงอยากร้องไห้ออกมา ปีนี้เขาเพิ่งอายุ 45 เอง อายุน้อยกำลังฮึกเหิม แถมมีอนาคตไกล จะให้เกษียณในหน่วยงานได้อย่างไร? เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ได้ตอบกลับทันที แต่เขารู้ดี ถ้ารักษาอาการปากเบี้ยวตาไม่เท่ากันนี้ไม่หาย เขาคงทำได้แค่เกษียณในหน่วยงานนั่นแหละ!

วังจิงเฉิงเองก็เห็นอู๋เป่ยแล้ว เห็นเขาขับรถราคาคันละสองล้านกว่า รู้สึกตระหนกขึ้นมาทันที

อู๋เป่ยเห็นเขาปากเบี้ยวอยู่จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เหล่าวัง ปากเป็นอะไรเหรอ?”

มันนี่พูดแต่เรื่องที่ไม่ควรพูด วังจิงเฉิงโกรธจนปวดท้อง ตอบกลับด้วยความโมโหว่า “เกี่ยวอะไรกับนายด้วย?”

อู๋เป่ยหัวเราะ “หึหึ หน้าตาแบบนี้ เกรงว่าคุณอาจสูญเสียอนาคต”

ประโยคเดียวก็แทงใจดำ วังจิงเฉิงกระวนกระวายใจ กล่าวด้วยเสียงเคียดแค้นว่า “ไม่เกี่ยวกับนาย!”

แต่อู๋เป่ยกลับเดินเข้ามาใกล้ บอกว่า “เหล่าหวัง เรื่องเมื่อคราวก่อนมันผ่านไปแล้ว ผมไม่โกรธคุณหรอก ตัวผมรู้เรื่องวิชาแพทย์นิดหน่อย อาการของคุณน่ะผมรักษาได้”

วังจิงเฉิงทั้งตกใจและดีใจ “นายรักษาได้เหรอ?”

อู๋เป่ยพยักหน้า “แต่ว่าค่าใช้จ่ายก็แพงหน่อย เพราะต้องใช้สมุนไพรปรุงยาราคาสูงบางชนิด”

“แพงไม่กลัว แค่รักษาหาย แพงเท่าไรก็ยอม” วังจิงเฉิงตอบกลับในทันที

“ดี เช่นนั้นพรุ่งนี้คุณนำเงินหนึ่งล้านมารอผมที่หน้าประตูโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งของเขต” อู๋เป่ยกล่าว

วังจิงเฉิงตกใจ ร้องว่า “หนึ่งล้านเลยเหรอ?”

“ก็ใช่น่ะสิ หนึ่งล้านนี้ราคาคนกันเอง ถ้าคุณคิดว่าแพงไปก็ไม่เป็นไร” อู๋เป่ยกล่าว

“ไม่ๆ” เขายิ้มสู้ “คือว่า พี่ชายของอู๋เหมย ฉันเรียกนายว่าอะไรดี?”

“ครั้งก่อนก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ ผมชื่ออู๋เป่ย” เขาตอบด้วยเสียงราบเรียบ

“น้องชายอู๋เป่ย ถูกกว่านี้หน่อยได้ไหม?” หนึ่งล้านมันแพงเกินไปจริงๆ เงินที่เขาเก็บสะสมในหลายปีมานี้รวมกันก็ล้านกว่าเอง

อู๋เป่ยพยักหน้า “ได้สิ ผมลดปริมาณยาให้ได้ แต่เกรงว่าผลลัพธ์การรักษาก็คงลดลงเหมือนกัน”

วังจิงเฉิงจะร้องไห้แล้ว “น้องอู๋ จะลดยาไม่ได้นะ งั้นหนึ่งล้านก็หนึ่งล้าน แต่มันได้ผลจริงเหรอ?”

อู๋เป่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “พวกเราเป็นผู้ปกครองของเด็ก ผมจะหลอกคุณได้เหรอ? เห็นผลทันทีที่จุดรักษา ถ้าไม่เห็นผล คุณไม่ต้องจ่ายสักแดง”

วังจิงเฉิงกัดฟัน “ได้! พรุ่งนี้เราเจอกันที่นี่ตอนมาส่งเด็กๆ !”

อีกครู่หนึ่งอู๋เหมยก็เลิกเรียน หล่อนวิ่งเข้ามา “พี่คะ!”

อู๋เป่ยตบศีรษะหล่อนสองสามครั้ง กล่าวว่า “ไป กลับบ้านกันเถอะ”

ข้างหลังห่างไปไม่มากนักเป็นหวังเฉียง เพื่อนร่วมชั้นของหล่อน เมื่อเห็นอู๋เหมยเข้าไปนั่งในรถไมบัคก็เกิดอาการงุนงง ครอบครัวของเธอค่อนข้างร่ำรวย มีทรัพย์สินหลายสิบล้าน ฉะนั้นถึงแม้คะแนนของอู๋เหมยจะดี แต่เธอก็ไม่ค่อยชอบเท่าไร

“บ้านหล่อนจนมากไม่ใช่เหรอ?” เธอขมวดคิ้ว แต่ถูกแม่ที่มารับเรียกไปหา

“เสี่ยวเฉียง ใจลอยไปไหน รีบขึ้นรถเร็วเข้า”

หวังเฉียงพูดว่า “แม่คะ ตระกูลอู๋มีเงินเยอะเหรอคะ? รถที่ขับดีกว่าของเราซะอีก”

แม่ของหวังเฉียงเป็นแม่บ้านแม่เรือน แต่ก็ช่วยสามีดูแลธุรกิจอุปกรณ์ก่อสร้างเป็นประจำ หล่อนกวาดตามองและพูดว่า “ไม่รู้สิ ลูกจะถามเรื่องพวกเขาไปทำไม ไม่เกี่ยวอะไรกับเราสักหน่อย”

“เกี่ยวค่ะ” หวังเฉียงบอก “หนูไม่ชอบท่าทางของคางคกขึ้นวอแบบอู๋เหมย เหอะ รถคันนี้ต้องเช่ามา จงใจให้คนอื่นเห็นแน่”

อีกฝั่งหนึ่ง อู๋เหมยที่ขึ้นรถแล้วก็ลูบนู่นลูบนี่ พูดอย่างดีใจว่า “พี่ รถเราดีจังเลย ต้องแพงมากแน่ใช่ไหมคะ?”

“สองล้านสี่แสนกว่า” อู๋เป่ยตอบ “เธอชอบก็ดีแล้ว”

“หนูชอบมากเลย!” อู๋เหมยยิ้มอย่างมีความสุข “จริงสิคะพี่ อีกสามวันหนูไปแข่งคณิตศาสตร์ที่สำนักงานจังหวัดนะ”

อู๋เป่ย “เร็วจัง เตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว?”

อู๋เหมย “ระยะนี้หนูทำข้อสอบจำลองอยู่ตลอด คะแนนค่อนข้างดี ครูที่ปรึกษาบอกว่าหนูสามารถเอาที่หนึ่งมาครองได้”

“งั้นเหรอ? เสี่ยวเหมยนี่เก่งจริงๆ” อู๋เป่ยชม

อู๋เหมยแบะปาก “พี่คะ ช่วงนี้หวังเฉียงหาเรื่องหนูอยู่เรื่อยเลย”

อู๋เป่ยจำเด็กผู้หญิงคนนั้นได้ ผู้ปกครองขับรถ x6 เขาถามว่า “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

อู๋เหมย “หล่อนก็อยากเข้าร่วมแข่งขัน แต่คะแนนของข้อสอบจำลองไม่ค่อยเป็นที่พึงพอใจ ครูเลยไม่รับหล่อน เพราะงั้นหล่อนเลยไม่ชอบหน้าหนู เช้าวันนี้ยังพาผู้หญิงสองสามคนมาขวางหนูในห้องน้ำ ถ้าไม่มีครูเดินผ่าน พวกหล่อนอาจจะตบหนูก็ได้”

อู๋เป่ยขมวดคิ้ว การกลั่นแกล้งกันในโรงเรียนมีทั้งรุนแรงและเล็กน้อย จะประมาทไม่ได้ เขาตอบกลับทันทีว่า “เธอไม่ต้องกังวล เดี๋ยวพี่โทรหาครูใหญ่ให้ อีกอย่าง ถ้าเจอเรื่องอันตราย เธอต้องรีบแจ้งพี่ทันที เข้าใจไหม?”

อู๋เหมยพยักหน้ารับคำ

หลังรับอู๋เหมยกลับมาบ้าน ก็ได้เจอกับมั่นต้าหวู่ที่มาเยี่ยม เขาบอกว่าสามตระกูลนั้นตกลงขายบ้านพักแล้ว แต่ราคาสูง สามหลังราคาประมาณสามล้านหกแสน

อู๋เป่ยไม่ได้ต่อราคา เพราะอย่างไรทุกคนต่างมีเรื่องลำบาก คืนวันนั้น อู๋เป่ยและสามตระกูลเซ็นสัญญากันโดยมีมั่นต้าหวู่เป็นคนรับรอง พรุ่งนี้ก็ไปโอนกรรมสิทธิ์โดยมีจางลี่เป็นคนดำเนินการ

เมื่อเห็นว่าอู๋เป่ยใช้เงินสามล้านหกแสนโดยไม่รู้ร้อนรู้หนาว แถมในบ้านยังมีรถคันละสองล้านกว่าเพิ่มเข้ามา มั่นต้าหวู่ก็ยิ่งไม่กล้าหาเรื่องอู๋เป่ย เพียงแต่เขาสงสัยมากว่าอู๋เป่ยเอาเงินมาจากไหน?

หลังจากนั้นไม่นาน รถของพี่หมี่จากภัตตาคารก็ขับมาถึงหน้าบ้านอู๋เป่ย เขาให้พนักงานอุ้มเหมาไถลงมาจากรถสองลัง แล้วเคาะประตูบ้านของอู๋เป่ย

อู๋เป่ยเปิดประตูมาเห็นว่าเป็นเขาก็ยิ้มและพูดว่า “พี่หมี่ คุณมาได้อย่างไร?”

พี่หมี่เป็นคนหวงไห่ ชื่อหมี่เจี้ยน มีนิสัยยึดมั่นในความถูกต้อง เขาหัวเราะและกล่าวว่า “น้องชาย วันนี้ฉันต้องขอบคุณนาย”

อู๋เป่ยมองเหล้าแวบหนึ่ง พูดว่า “พี่หมี่ ผมไม่ดื่มเหล้า พี่เอาให้ผมก็เสียของเปล่า รีบขนกลับขึ้นรถเถอะครับ”

พี่หมี่ทำหน้าขมึง “ได้อย่างไรล่ะ! นี่นายรังเกียจฉันเหรอ?”

อู๋เป่ยยิ้มเจื่อน ได้แต่ปล่อยให้เขาสั่งคนขนเหล้าเข้าไปในบ้าน

พวกเขานั่งรวมกันที่ห้องรับแขก อู๋เหมยชงชาให้พวกเขา เขาถามว่า “พี่หมี่ จัดการเรื่องราวอย่างไรเหรอ?”

พี่หมี่จุดบุหรี่ ตอบ “จะจัดการอย่างไรได้ พวกชั่วนั่นมีคนหนุนหลัง ปล่อยตัวไปตั้งแต่เช้าแล้ว แต่พวกเขาก็ชดใช้ให้ฉันหนึ่งแสนหยวน”

อู๋เป่ยขมวดคิ้ว “นี่มันคดีอาญานะ ปล่อยไปง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอครับ?”

“พวกเขาขอประกันตัวขณะรอการสอบสวน ตอนแรกฉันไม่อยากอนุญาตหรอก อยากให้พวกเขาติดคุกสักสองสามปี แต่ในคนเหล่านั้นมีรองหัวหน้าทีมของทีมลาดตระเวนใหญ่อยู่ ฉันไม่อนุญาตไม่ได้ มิฉะนั้นภัตตาคารของฉันคงต้องปิดตัวลง” พี่หมี่ตอบด้วยเสียงราบเรียบ

พูดถึงตรงนี้ เขาทำหน้าโหดเหี้ยมแวบหนึ่ง “ตอนไอ้พวกชั่วนั่นไป ยังชี้หน้าฉันแล้วพูดว่าจ่ายหนึ่งแสนเพื่อทุบตีฉันน่ะคุ้มแล้ว”

พูดถึงเรื่องนี้ เขาก็นึกอะไรขึ้นได้ “จริงสิน้องชาย ช่วงนี้นายอย่าไปภัตตาคารฉันเลย พวกนั้นบอกจะหาเรื่องนาย ฉันกลัวนายจะเจอพวกเขาเข้า”

อู๋เป่ยยิ้มเย็น “เจอก็ดี ผมจะได้แก้แค้นให้พี่หมี่”

พี่หมี่รีบโบกมือไปมา “ช่างเถอะ ฉันมันคนทำธุรกิจ ไม่ค่อยมีความแค้นกับใคร”

พูดคุยกันอีกสักพัก หมี่เจี้ยนก็จากไป แต่ในใจอู๋เป่ยกลับไม่พอใจ เขารีบโทรหาเหอปี้ซื่อทันที

เหมือนเหอปี้ซื่อจะรู้ว่าเขาโทรมาทำไม ยิ้มและถามว่า “น้องชายอู๋ กินข้าวเย็นหรือยัง?”

อู๋เป่ยถามเขาตรงๆ “หัวหน้าสืบสวนเหอ หกคนนั้นก่ออาชญากรรมเห็นๆ ทำไมถึงปล่อยตัวพวกเขาไปครับ? ”

“คือแบบนี้ ปล่อยตัวพวกเขา ถูกตามหลักกฎหมายและเหตุผล หมี่เจี้ยนเซ็นสัญญาเห็นใจพวกเขา อีกฝั่งก็ชดใช้เงินให้แล้ว ฉะนั้นจึงดำเนินการประกันตัวขณะรอการสอบสวน” เหอปี้ซื่อตอบ

อู๋เป่ยยิ้มเย็น “เดี๋ยวนี้ต้นทุนการก่ออาชญากรรมมันต่ำขนาดนี้แล้วเหรอ จ่ายไม่กี่หยวนเรื่องก็จบ ใช่ไหมครับ?”

เหอปี้ซื่อรับรู้ถึงอารมณ์ขุ่นมัวของเขา รีบกล่าวว่า “น้องอู๋อย่าโมโหเลย เอาแบบนี้ คืนนี้นายว่างไหม ออกมาดื่มกันสักหน่อย จริงสิ รั่วเสวี่ยก็มาด้วย”

นึกถึงโจวรั่วเสวี่ย อู๋เป่ยลังเลเล็กน้อย ตอบไปว่า “ก็ได้ครับ คุณเลือกที่เลย”

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง อู๋เป่ยถือเหมาไถสองขวดมายังร้านอาหารชื่อปิ้งย่างริมแม่น้ำ เหอปี้ซื่อและโจวรั่วเสวี่ยรอเขาอยู่ก่อนแล้ว โต๊ะสี่เหลี่ยมขนาดเล็กตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ลมเย็นพัดผ่าน ช่างสบายเหลือเกิน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดคุณหมอตาวิเศษ