“ฉันต้องการอะไรน่ะเหรอ… ? อย่ามาถามอะไรโง่ ๆ ดีกว่าหน่า… แกก็รู้อยู่แล้วหนิว่าฉันต้องการอะไร!” อู่หยางเทียนหมิงพูดอย่างเย็นชา
เย่เชียนก็ตอบเขากลับอย่างเย็นชาเช่นกันว่า “ฉันอยากได้ยินเสียงของจ้าวหยาก่อน…”
“เอ้านี่ยัยขี้โวยวาย…! คู่หมั้นของเธออยากคุยด้วย” อู่หยางเทียนหมิงพูด เขาส่งโทรศัพท์ให้จ้าวหยา
“เย่เชียน! นายอย่ามานะ พวกมันจะฆ่านาย!” จ้าวหยาพูดยังไม่ทันจบ อู่หยางเทียนหมิงก็ดึงโทรศัพท์ไปจากเธอ เขาหัวเราะอย่างสะใจแล้วพูดว่า “ฉันยังไม่ได้สัมผัสหรือแตะต้องอะไรเธอเลย… แต่ถ้าแกมาช้า ฉันก็ไม่รับประกันหรอกนะว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นน่ะ! ฮ่า ๆ ๆ ”
เย่เชียนรู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมากในคำพูดของจ้าวหยา เขาไม่คาดคิดเลยว่า จ้าวหยา สาวน้อยที่คอยเอาแต่ใจและดื้อรั้นคนนั้นจะพูดแบบนี้กับเขา มันทำให้หัวใจของเย่เชียนแทบจะแตกสลาย ก่อนหน้านี้เย่เชียนต้องการช่วยจ้าวหยาเพราะความรู้สึกผิด แต่ทว่าตอนนี้มันไม่ใช่แค่นั้นแล้ว ตอนนี้เขารู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ที่เขาจะต้องทำมันให้สำเร็จลุล่วง
“คายมันออกมา… แกอยากจะให้ฉันทำอะไร ?!” เย่เชียนพูดอย่างเยือกเย็นและพยายามสงบสติอารมณ์เอาไว้
“มาที่โรงงานเคมีร้างในเขตชานเมืองทางตอนเหนือ… และจำเอาไว้ว่าอย่าโทรหาพวกตำรวจ ไม่งั้นฉันจะฆ่ายัยผู้หญิงขี้โวยวายนี่ซะ อ้อ… แกมีเวลาแค่ 20 นาทีเท่านั้นนะ ถ้าแกมาช้าล่ะก็…”
ตู๊ด… ตู๊ดดดด… ตู๊ดดดดดดด…
สายถูดตัดไปพร้อมกับรอยยิ้มอันชั่วร้ายของอู่หยางเทียนหมิง
เย่เชียนไม่ชักช้าให้ต้องเสียเวลาอีกต่อไป เพราะจากที่นี่ไปยังชานเมือง เขาต้องใช้เวลาตั้ง 30 นาทีกว่าจะไปถึง เมื่อเย่เชียนเดินไปถึงถนนใหญ่ เขาก็ยื่นแขนออกไปเพื่อหยุดรถส่วนตัวคันหนึ่งที่ขับผ่านมา
รถเสียงกระหึ่มไปทั่วคันนี้ได้จอดลงตรงหน้าของเย่เชียน จากนั้นเขาก็บังคับให้คนขับรถออกมาแล้วเข้าไปนั่งแทนที่ตำแหน่งคนขับ แล้วเขาก็เหยียบคันเร่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เจ้าของรถเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่า ๆ เขาจ้องมองไปที่เย่เชียนที่กำลังขับรถของตัวเองจากไปอย่างว่างเปล่า เขาใช้เวลาตระหนักอยู่นานกว่าจะฟื้นสติคืนมาได้ แต่ทว่าเขากลับไม่ตื่นตระหนกตกใจหรือโกรธแค้นแม้แต่น้อย เขาเพียงยิ้มอย่างอภิรมย์และพึมพำว่า “พ่อหนุ่มน้อยเอ๋ย… นี่ถึงกับกล้าเอารถของฉันไปเชียวหรือ ? ฮ่า ๆ ๆ คนนี้สินะพ่อหนุ่มเย่เชียนที่เฟิงเอ๋อร์เคยพูดถึงน่ะ แหม… หยูเอ๋อร์เอ๊ย… วิสัยทัศน์ของเธอนี่ช่างไม่เหมือนผู้หญิงคนไหนเลยจริง ๆ นะ”
แน่นอนว่าเย่เชียนไม่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ เพราะตอนนี้เขาเป็นกังวลเรื่องของจ้าวหยามากที่สุด อีกอย่าง เขาก็เหยียบคันเร่งจนมิดทำให้รถพุ่งทะยานไปไกลจากจุดที่เขายึดรถมาได้แล้วด้วย
อู่หยางเทียนหมิงเป็นคนบ้าคลั่งมาก เขาสามารถทำอะไรเมื่อไหร่ก็ได้ทุกเมื่อ ทำให้เย่เชียนไม่กล้าที่จะเสียเวลาไปแม้แต่วินาทีเดียว ถ้าอู่หยางเทียนหมิงทำอะไรกับจ้าวหยาจริง ๆ ล่ะก็ มันก็จะไม่มีอะไรเหลือเลยแม้แต่น้อยสำหรับเขา นอกจากความเสียใจและหัวใจที่แตกสลาย
เย่เชียนไม่ใช่คนโง่ เขาไม่รู้ว่าอู่หยางเทียนหมิงนั้นมีคนที่อยู่กับเขาอีกกี่คน ดังนั้นหากเขาไปที่นั่นด้วยตัวเองเพียงคนเดียวด้วยม้าศึกตัวเดียวและหอกด้ามเดียว มันก็คงไม่เพียงพอแน่ ๆ มันไม่ใช่ว่าเขาจะกลัวตายหรือะไร เพียงแต่เขากลัวว่าจ้าวหยาจะเป็นอะไรไปเสียก่อนมากกว่า
อย่างไรก็ตาม กลุ่มเขี้ยวหมาป่านั้นมีประสบการณ์การช่วยเหลือตัวประกันมามากมาย ดังนั้นเย่เชียนจึงโทรศัพท์หาม่อหลงอย่างรวดเร็ว
“ม่อหลง… เดี๋ยวผมจะให้เบอร์โทรคุณเบอร์นึง รีบจดไว้เร็ว…” จากนั้นเขาก็ท่องหมายเลขให้ม่อหลงอย่างไว แล้วเขาก็พูดต่อไปว่า “เดี๋ยวคุณโทรหาเขาโดยบอกเขาว่าคุณเป็นเพื่อนของผมนะ แล้วรีบเตรียมอาวุธประจำตำแหน่งของพวกคุณไปที่ชานเมืองทางตอนเหนือ พิกัดโรงงานเคมีร้างทันที เพื่อนของผมเขาก็เป็นพลซุ่มยิงเหมือนกันกับคุณนี่แหละ นี่เป็นสถานการณ์เร่งด่วน! เราจะสิ้นสุดการติดต่อกันเพียงเท่านี้ และเมื่อพวกคุณไปถึงที่นั่นแล้ว พวกคุณก็จะรู้ว่าต้องทำอะไร เข้าใจตามนี้นะ”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน