จางเชียงเพียงยิ้ม เขาไม่ได้พูดอะไรอีก
ถึงแม้ว่าฉินหยูจะไม่ยอมรับจากปากของเธอเอง แต่ในความคิดของเขานั้น ถ้าสิ่งที่ฉินเฟิงพูดเป็นความจริงล่ะก็ เย่เชียนจะต้องเป็นคนที่สำคัญสำหรับฉินหยูมากอย่างแน่นอน แต่เนื่องจากฉินหยูยังไม่อยากยอมรับว่าเย่เชียนกับเธอเป็นแฟนกัน ในฐานะผู้อาวุโส เขาจึงคิดจะไม่รบกวนเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
“ลุงจาง วันนี้ลุงไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะมาพบเขาอย่างเดียวใช่มั้ย ? มีเรื่องอื่นอีกหรือเปล่า ?” ฉินหยูถาม หลังจากเงียบไปชั่วขณะ เธอก็พูดต่อ “ลุงมาคุยกันในรถก็ได้”
จางเชียงพยักหน้าก่อนจะเข้าไปในรถ “หยูเอ๋อร์ไม่ได้ขอให้พวกเขาช่วยสืบข้อมูลเกี่ยวกับอู่หยางเทียนหมิงหรอกเหรอ ? ตอนนี้ได้ข้อมูลมาแล้วนะ” จางเชียงขมวดคิ้วให้ฉินหยูเล็กน้อยก่อนจะถาม “มีเรื่องอะไรกันล่ะ ?”
ฉินหยูพยักหน้า “อ้อ หยาเอ๋อร์หายตัวไป ฉันก็เลยสงสัยว่าอู่หยางเทียนหมิงทำเรื่องพวกนี้น่ะ ลุงจาง! ลุงรู้มั้ยว่าอู่หยางเทียนหมิงอยู่ที่ไหน ?”
“เขาอยู่ในเขตชานเมืองทางตอนเหนือในโรงงานเคมีร้าง เขามีนักโทษหลบอยู่ด้วยที่ก็น่าจะช่วยเขาทำเรื่องชั่ว ๆ ข้อมูลพวกนี้ได้มาจากคนของพวกเหว่ยตงเซียนกรุ๊ป” จางเชียงหยุดมองปฏิกิริยาของฉินหยูเล็กน้อย จากนั้นก็พูดว่า “อู่หยางเทียนหมิงจะลักพาตัวจ้าวหยาไปเพื่ออะไรเหรอ ? ลุงเห็นว่าพวกเขาดูเหมือนจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกันเลยนี่”
“ถ้าลุงจางจะให้ฉันอธิบาย เรื่องมันก็ยาวและยุ่งยากเล็กน้อย แต่อันที่จริงฉันเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันนะลุงจาง…” ฉินหยูกำลังพูดอยู่ แต่จู่ ๆ เธอก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้
ทันใดนั้นเอง ฉินหยูก็เกิดคิดขึ้นมาว่าที่เย่เชียนเอารถของลุงจางเชียงไป ก็คงเป็นเพราะเขาจะรีบไปหาอู่หยางเทียนหมิงอย่างนั้นใช่ไหม ? มันเป็นไปได้ไหมว่าเขารู้แล้วว่าจ้าวหยาถูกจับตัวไปที่ไหน เขาก็เลยรีบร้อนไปช่วย ? และรถที่บังเอิญผ่านมาตอนที่เขาต้องการรถคือรถของลุงจางพอดีอย่างนั้นหรือเปล่า ?
จางเชียงรู้สึกประหลาดใจที่จู่ ๆ ฉินหยูก็เงียบไปอย่างกะทันหัน เขาเอ่ยปากถาม “มีอะไรเหรอหยูเอ๋อร์ ?”
“ลุงจาง ฉันคิดว่าเย่เชียนอาจจะรีบ เขาก็เลยมาชิงเอารถของลุงไปเพื่อที่จะขับไปหาอู่หยางเทียนหมิงก็ได้นะ” ฉินหยูตอบและพูดอย่างเป็นกังวล “ฉันกลัวจังเลยลุงจาง กลัวว่ามันจะอันตรายเกินไปสำหรับเขาที่จะไปหาอู่หยางเทียนหมิงคนเดียว”
จางเชียงเห็นใจในท่าทางเศร้า ๆ ของฉินหยู แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกงงงวยจริง ๆ ว่าแล้วไอ้เรื่องนี้มันไปเกี่ยวข้องกับเย่เชียนได้อย่างไร แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมามัวตระหนักหรือไตร่ตรองเรื่องนี้
“ไม่ต้องห่วงนะหยูเอ๋อร์ เดี๋ยวลุงจะส่งคนไปที่นั่นทันที” หลังจากที่พูดเช่นนี้ จางเชียงก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และเตรียมที่จะติดต่อหาคนไปช่วยเหลือเย่เชียน
“อย่าเลยลุงจาง!” หลังจากเงียบไปชั่วครู่ ฉินหยูก็รีบส่ายหัวและพูดว่า “ฉันไม่คิดว่าเราจะทำอะไรได้แล้วล่ะลุง ถึงแม้ว่าพวกเราจะไปที่นั่นก็ตามเถอะ ฉันเชื่อว่าเขาจะต้องช่วยจ้าวหยาได้อย่างแน่นอน เย่เชียนน่ะ”
แม้จะพูดคำเหล่านี้ไป ฉินหยูก็อดไม่ได้อยู่ดีที่จะเป็นห่วงเย่เชียน แต่ถึงอย่างไรเธอก็ไม่กล้าให้คนอื่นไปแทรกแซง ก็ใครจะรู้ล่ะว่าอู่หยางเทียนหมิงอาจจะบ้าไปแล้วก็ได้ และถ้าเขาค้นพบว่ามีคนอื่นเข้ามาแทรกแซงแล้วล่ะก็ นั่นอาจจะทำให้จ้าวหยาต้องตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นเสียเปล่า ๆ
จางเชียงจ้องมองด้วยความประหลาดใจ จากนั้นเขาก็เก็บโทรศัพท์มือถือกลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ
ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาฉินหยูจะไม่ค่อยมีส่วนร่วมในกิจการของตระกูล แต่จางเชียงก็รู้ดีว่าฉินหยูนั้นฉลาดและมีไหวพริบมากเพียงใด อาจพูดได้ว่าฉินหยูมีส่วนช่วยอย่างมากสำหรับเครือบริษัทที่ยิ่งใหญ่อย่างหงเหมินกรุ๊ปที่สามารถสร้างตัวตนอันสมบูรณ์อย่างแท้จริงได้ในเซี่ยงไฮ้แห่งนี้ แม้ว่าจางเชียงจะไม่ได้พูดออกมาดัง ๆ แต่เขาก็ชื่นชมผู้สืบทอดคนโตของหงเหมินกรุ๊ปคนนี้อย่างจริงใจและยังภูมิใจในตัวเธอมาก
ไม่ว่าเธอจะคิดจะตัดสินใจอะไร จางเชียงก็คิดว่าตัวเขาจะไม่คัดค้านในการตัดสินใจของฉินหยูเลย
“หยูเอ๋อร์ ลุงมีอีกเรื่องที่ต้องบอกเกี่ยวกับเรื่องนี้” หลังจากที่เงียบไปชั่วครู่ จางเชียงก็พูดขึ้น
“มีอะไรเหรอ ลุงจางบอกมาได้เลย” ฉินหยูพูดด้วยสีหน้าอ่านยาก
“หลังจากที่เฟิงเอ๋อร์บอกกับลุงว่าเย่เชียนเป็นแฟนของหยูเอ๋อร์ ลุงสงสัยก็เลยลองไปสืบค้นข้อมูลภูมิหลังของเขา แต่ว่ามันมีช่องว่างอยู่แปดปี ซึ่งเป็นแปดปีที่ไม่สามารถหาข้อมูลอะไรใดได้เลยสักอย่าง ยังไงลุงว่าหยูเอ๋อร์น่าจะระมัดระวังตัวให้มากขึ้นกว่านี้หน่อยนะ”
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน