อันที่จริงฉินหยูก็เข้าใจถึงความขัดแย้งกันระหว่างหงเหมินกรุ๊ปกับชิงกรุ๊ปว่ามันไม่ใช่สิ่งที่สามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ แต่ด้วยเพราะเธอเป็นคนที่ไม่ชอบสงครามมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เธอจึงหวังว่าคงจะมีสันติภาพในสักวันหนึ่ง
หากหงเหมินกรุ๊ปสามารถยุติข้อพิพาทกับชิงกรุ๊ปได้ แม้หงเหมินกรุ๊ปจะต้องถอยไปหนึ่งก้าวฉินหยูก็เต็มใจ แต่หงเหมินกรุ๊ปนั้นไม่ใช่อะไรที่เธอจะสามารถตัดสินใจหรือจัดการได้โดยลำพัง นั่นเพราะในองค์กรไม่ได้ประกอบไปด้วยตระกูลเพียงตระกูลเดียว แน่นอนว่าภายใต้องค์กรจะประกอบไปด้วยหลากหลายตระกูลใหญ่ ๆ ที่มีทั้งเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงและพวกนายทหารชั้นสูง เพราะเหตุนี้เอง หลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างจึงต้องถูกลงมติเห็นชอบจากหลากหลายตระกูลก่อนจึงจะตัดสินใจทำอะไรได้สักอย่างหนึ่ง
เมื่อฉินหยูได้ยินคำพูดของจางเชียงแล้ว จู่ ๆ ภาพของเย่เชียนก็ปรากฏขึ้นในใจเธอ ในความเป็นจริงนั้นเมื่อครั้งแรกที่ฉินหยูเห็นเย่เชียน เธอรู้สึกเกลียดชังเขามาก แต่ทว่าในตอนนี้ที่พวกเขาทั้งสองผ่านการใช้เวลาร่วมกันอยู่ระยะหนึ่ง ถึงจะไม่นานขนาดนั้นแต่ฉินหยูก็ค้นพบว่าเย่เชียนมีบางอย่างพิเศษที่ต้องเป็นเขาเท่านั้นที่จะมี และบางที… เย่เชียนก็อาจจะมีบทบาทสำคัญที่สามารถทำให้หงเหมินกรุ๊ปกับชิงกรุ๊ปรวมกันเป็นหนึ่งก็ได้ มันอาจจะดูเป็นไปได้ยากและแปลก ๆ ที่คิดเอาเย่เชียนมาเกี่ยวข้องกับเรื่องธุรกิจพวกนี้ แต่ในใจฉินหยูเธอคิดเช่นนี้อยู่จริง ๆ
“ลุงจาง! ลุงคิดว่าเย่เชียนมีความสามารถนั้นมั้ย ?” ฉินหยูถามอย่างจริงจัง
จางเชียงจ้องมองด้วยความงุนงงระคนประหลาดใจ จากนั้นก็พูดว่า “ลุงรู้เกี่ยวกับตัวตนของเขาน้อยมาก หยูเอ๋อร์คงนึกไม่ออกว่าการรวมหงเหมินกรุ๊ปเข้ากับชิงกรุ๊ปนั้นมันยากมากแค่ไหน ถ้ารวมแล้ว ไม่เพียงแค่ต้องแบกรับความรับผิดชอบที่มากมายมหาศาล แต่คนที่จะมารวมทั้งสองกรุ๊ปนี้เข้าด้วยกันยังต้องมีบุคลิกที่ดีและความฉลาดก็ต้องเป็นอันดับต้น ๆ เหมือนพิมพ์นิยมของนักธุรกิจที่เพียบพร้อม แต่… ลุงก็เชื่อในสายตาของหยูเอ๋อร์นะ ลุงมั่นใจว่าหยูเอ๋อร์จะตัดสินคนไม่ผิดอย่างแน่นอน”
ฉินหยูยิ้มอ่อน ๆ และพูดว่า “ฉันก็ได้แค่หวังล่ะนะลุงจาง เพราะถึงยังไงก็พูดได้ไม่เต็มปากหรอกว่าเขาจะมีความสามารถนี้จริง ๆ หรือเปล่า เพราะจนถึงตอนนี้เขาเองก็ยังไม่รู้จักตัวตนจริง ๆ ของฉันเลย และฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะเต็มใจทำเรื่องพวกนี้หรือไม่เต็มใจทำ แต่สิ่งที่ชัดเจนสำหรับฉันก็คือ เย่เชียนเขาไม่ใช่คนที่ยึดติดอยู่กับกฎระเบียบ เขาเป็นผู้ชายที่รักชอบในอิสระที่มีอยู่ การที่ฉันทำให้เขาต้องมาแบกรับภาระอันหนักหน่วงขนาดนี้ เกรงว่าเขาจะไม่เต็มใจที่จะทำมัน…”
จางเชียงขมวดคิ้วแน่น ถ้าหากว่าเย่เชียนเป็นคนแบบนั้นจริง ๆ ก็คงจะเป็นเรื่องยาก ใคร ๆ ก็รู้ว่าการที่จะปล่อยให้คนที่ชอบในอิสระของตนเองเข้ามาจัดการและควบคุมหงเหมินกรุ๊ปกับชิงกรุ๊ป รวมถึงให้เขาปฏิบัติตนในข้อจำกัดต่าง ๆ มากมายย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะทำได้ โชคดีที่เย่เชียนเป็นพวกที่ไม่ชอบความน่าเบื่อ ผู้ชายแบบนั้นมีความทะเยอทะยานและความมุ่งมั่นสูงมาก และผู้ชายที่มีความมุ่งมั่นทะเยอทะยานก็เป็นสิ่งจำเป็น จะได้สามารถคิดการใหญ่และดำเนินการใหญ่ขนาดนี้ได้
“หยูเอ๋อร์ ลุงมีวิธีที่จะบังคับให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเข้าร่วมการต่อสู้และทำการรวมเป็นหนึ่งระหว่างหงเหมินกรุ๊ปกับชิงกรุ๊ปเท่านั้น” จางเชียงพูดอย่างกระตือรือร้น
ฉินหยูรีบหันไปหาจางเชียงและจ้องมองเขาอย่างดุเดือด “ลุงจาง! ฉันรู้ว่าลุงกำลังคิดอะไรอยู่นะ แต่ฉันไม่ต้องการทำแบบนั้น เย่เชียนเป็นคนที่มีจุดยืนและวิถีชีวิตในแบบของเขาเอง และถึงแม้ว่าปกติแล้วเขาจะค่อนข้างเลอะเทอะ ไร้สาระ หรืออาจจะหัวดื้อไปหน่อยก็เถอะ แต่ถ้าเขารู้ว่าเขากำลังถูกใช้งานแบบนี้ ฉันเกรงว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นมันจะตรงข้ามกับสิ่งที่เราต้องการ ปล่อยให้ทุกอย่างมันดำเนินไปตามธรรมชาติเถอะลุง อย่าทำอะไรที่ฝืนใจใครเลย เพียงแค่เฝ้าดูอนาคตภายภาคหน้าเท่านั้นก็พอ”
ฉินหยูรู้ว่าแผนของจางเชียงไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากทำให้ฉินหยูและเย่เชียนสร้างความสัมพันธ์ฉันท์คนรักต่อกันอย่างเป็นทางการ หรืออาจพูดได้ว่าลุงจางอยากให้เธอกับเขาแต่งงานกันก็ได้ แต่ด้วยวิธีนี้ มันจะเป็นการผูกมัดและตรึงโซ่ตรวนเย่เชียนกับหงเหมินกรุ๊ปเอาไว้ หลังจากนั้นถ้าหากว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับหงเหมินกรุ๊ป มันก็เท่ากับว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับเย่เชียน ซึ่งมันอาจจะทำให้ฉินหยูและเย่เชียนไม่ได้อยู่ข้าง ๆ กันอีกต่อไป
ฉินหยูรับรู้ได้ถึงบุคลิกของเย่เชียนดี นั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ นอกจากนี้ ในจิตใต้สำนึกของเธอ เธอไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์ของเธอกับเย่เชียนก้าวหน้าขึ้นและดำเนินไปในแบบที่มีคนอื่นมาเร่งเร้า ท้ายที่สุดแล้วฉินหยูต้องการให้มันขับเคลื่อนไปด้วยความรู้สึกจากใจจริงของพวกเขาทั้งสองเองมากกว่า
จางเชียงถอนหายใจเล็กน้อยและไม่พูดอะไรเพิ่มเติม เขารู้ดีถึงอารมณ์ความคิดและการตัดสินใจของฉินหยู หากเธอตัดสินใจอะไรบางอย่างไปแล้ว มีน้อยคนนักที่จะโน้มน้าวให้เธอเปลี่ยนใจได้ ส่วนเรื่องที่จางเชียงคิดก็ลืมไปได้เลยเพราะแม้แต่พ่อของเธอเองซึ่งเป็นผู้นำของหงเหมินกรุ๊ปก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของฉินหยูได้เลย
……
ณ ฝั่งตรงข้ามของโรงงานเคมีร้างในเขตชานเมืองทางตอนเหนือ
ม่อหลงและฟูจุนเฉิงกำลังปรับจังหวะการหายใจของพวกเขาอยู่ สำหรับมือสไนเปอร์ การหายใจแต่ละครั้งอาจทำให้ร่างกายสั่นไหวเล็กน้อยซึ่งมันอาจจะส่งผลต่อความแม่นยำในการยิง ดังนั้นการหายใจและการยิงของพวกเขาจึงต้องเป็นจังหวะที่เชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว
ม่อหลงและฟูจุนเฉิงถือเป็นสองนักแม่นปืนหรือสไนเปอร์ที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถกำหนดและประสานการหายใจได้อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น ทั้งคู่ก็หันหน้าเข้าหากัน จากนั้นม่อหลงโยนเหรียญขึ้นไปในอากาศ
ทันทีที่เหรียญตกลงพื้น ม่อหลงก็พบว่าฟูจุนเฉิงหายใจเข้าลึก ๆ โดยไม่คาดคิดและอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กน้อย แต่ในขณะนี้ เขาก็ไม่สามารถที่จะคิดถึงเรื่องอื่นได้ เปรียบกับที่ว่า ‘เมื่อลูกธนูอยู่ในสายธนูแล้ว คนเราย่อมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องปล่อยมัน’



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน