“แล้วหลานชายเย่รู้จักกับหยูเอ๋อร์มานานแค่ไหนแล้ว ?” ทันใดนั้นฉินเทียนก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างกะทันหัน
เย่เชียนชะงักไปชั่วขณะ แต่จากนั้นก็ตอบฉินเทียนไปว่า “ตั้งแต่วันที่ผมได้รับความไว้วางใจจากพ่อของจ้าวหยาให้คอยปกป้องเธอ ผมก็เลยได้มีโอกาสพบกับฉินหยูที่มหาวิทยาลัยครับ”
“หยูเอ๋อร์น่ะมีบุคลิกและนิสัยคล้ายกับแม่ของเธอมากเลยล่ะ เธอค่อนข้างจะเย็นชากับสิ่งต่าง ๆ มาก หลานชายเย่อย่าไปถือโทษโกรธอะไรเธอเลยนะ” ฉินเทียนพูดอย่างคาดหวัง
“ไม่หรอกครับ ถึงภายนอกเธอจะดูเป็นแบบนั้นก็จริง แต่ภายในจิตใจของเธอนั้นมันอบอุ่นและอ่อนโยนเสมอ” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มจาง ๆ
“หึ ๆ ๆ ถ้าหลานชายเย่คิดแบบนั้นจริง ฉันก็ดีใจ” ฉินเทียนหัวเราะเบา ๆ
เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะไปกับฉินเทียนด้วย แต่เย่เชียนเองก็ยังไม่กล้าคิดหรือจินตนาการว่าฉินเทียนคนนี้อยากที่จะหมั้นลูกสาวของเขาให้กับตน เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังไม่มีอะไรดี ๆ ในสายตาของฉินเทียนเลย ดั่งคำพูดที่ว่า ‘ครอบครัวต้องกลมกลืนกันในแง่ของสถานะและฐานะทางสังคม’ ถึงจะเป็นคำที่ดูแบ่งแยกชนชั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าคนสมัยนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ซึ่งคนอย่างฉินเทียนก็ไม่สามารถลดตัวลงไปเทียบกับจ้าวเทียนห่าวได้เลย ถึงแม้ว่าจ้าวเทียนห่าวจะอยู่ในหงเหมินกรุ๊ปด้วยก็ตาม แต่เขาไม่ได้มีตำแหน่งสูงเท่าฉินเทียน อีกทั้งจ้าวเทียนห่าวนั้นไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วนเหมือนกับฉินเทียน นอกจากนี้บุคลิกของพวกเขาทั้งสองคนก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“โอ้…! มันดึกมากแล้วฉันควรจะกลับได้แล้วสิเนี่ย” ฉินเทียนมองไปที่นาฬิกาข้อมือของเขาขณะที่เขายืนขึ้น
“ครับ… เดี๋ยวผมไปส่ง” เย่เฉียนก็ลุกขึ้นอย่างสุภาพเช่นกัน
เย่เชียนเดินไปเปิดประตูให้ฉินเทียนด้วยท่าทางที่สงบเสงี่ยมและสุภาพเรียบร้อย เขารอให้ฉินเทียนเดินนำไปก่อน ชายชุดดำสองคนที่มากับฉินเทียนนั้นยืนอยู่ด้านข้างประตูทั้งสองฝั่งด้วยความเคารพ และเมื่อพวกเขาเห็นฉินเทียนเดินออกมา พวกเขาก็รีบโค้งคำนับอย่างรวดเร็ว จากนั้นชายชุดดำคนหนึ่งก็รีบวิ่งไปที่รถ
“เซี่ยงไฮ้มันยังไม่สงบในตอนนี้… หลายชายเย่ช่วยปกป้องหยูเอ๋อร์ให้ฉันทีนะ” ฉินเทียนหันกลับมาพูดกับเย่เชียน คำพูดของเขานั้นฟังดูจริงใจและคาดหวังอย่างมาก ในตอนนี้เขาไม่ได้พูดในฐานะผู้นำของหงเหมินกรุ๊ปแต่อย่างใด แต่เป็นในฐานะพ่อของฉินหยู ซึ่งแน่นอนว่าน้ำเสียงนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“ผมสัญญาครับ!” เย่เชียนพยักหน้ารับ
ทันใดนั้นหางตาของเย่เชียนก็เหลือบไปเห็นแสงสว่างกะพริบมาจากด้านบนของอาคารฝั่งตรงข้าม มันทำให้เขาถึงกับตกตะลึงไปเล็กน้อย จากสัญชาตญาณของเขาที่ได้รับการฝึกฝนมานานหลายปี เย่เชียนนั้นค่อนข้างมั่นใจมากว่าแสงกะพริบที่เขาเห็นนั้นมาจากการสะท้อนแสงและหักเหของเลนส์กล้องสโคปของปืนสไนเปอร์ไรเฟิล
“ระวัง!” ปฏิกิริยาและประสาทสัมผัสแรกของเย่เชียนคิดว่าพวกนั้นต้องการที่จะฆ่าฉินเทียนอย่างแน่นอน เขาตะโกนพร้อมพุ่งทะยานไปผลักฉินเทียนลงไปกับพื้นอย่างรวดเร็ว
ฉินเทียนไม่สามารถตอบสนองได้ท่ามกลางความสับสนอลหม่านและคับขันเช่นนี้ หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกระสุนปืนกระทบกับประตูบ้าน ทันใดนั้นเองฉินเทียนก็รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว เพราะถ้าหากเย่เชียนไม่ตอบสนองเร็วขนาดนี้ ป่านนี้เขาก็คงจะตายไปแล้ว
“นั่น! ที่ด้านบนสุดของอาคารหลังนั้น!” เย่เชียนดึงฉินเทียนไปหลบที่หลังรถและตะโกนบอกชายชุดดำสองคนนั้น
ในฐานะที่ฉินเทียนเป็นถึงผู้นำของหงเหมินกรุ๊ป ทำให้ความสงบสุขไม่ใช่สิ่งที่เขาจะมีได้มากนัก ฉินเทียนมองไปที่ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองคนของเขาแล้วพูดว่า “ไปดูซิ!”
“ได้ครับ!” ชายชุดดำทั้งสองคนตอบตกลง พวกเขาไม่ลืมที่จะหยิบโล่กันกระสุนจากในรถก่อนที่จะรีบวิ่งไปยังอาคารหลังดังกล่าว
เย่เชียนไม่ได้ไปกับพวกเขาด้วย ทว่าดวงตาของเขานั้นกำลังจ้องมองไปที่ด้านบนสุดของอาคารตามวิถีของกระสุนก่อนหน้านี้ เย่เชียนคิดว่าเป้าหมายที่แท้จริงนั้นไม่ใช่ฉินเทียน แต่เป็นตัวเขาเอง ใครกันที่อยากจะฆ่าเขา ?
ทันใดนั้นเองชื่อของกลุ่มทหารรับจ้างเหยี่ยวดำทมิฬก็ปรากฏขึ้นมาในความคิดของเย่เชียน ซึ่งพวกเหยี่ยวดำทมิฬถูกว่าจ้างโดยเหว่ยตงเซียนกรุ๊ป และเหว่ยตงเซียนกรุ๊ปกับอู่หยางเฉิงนั้นก็มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง การตายของอู่หยางเทียนหมิงคงเป็นสาเหตุให้คนอย่างอู่หยางเฉิงผู้เป็นพ่อไม่ยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ ดูเหมือนว่าการคาดเดาของเย่เชียนนั้นถูกต้อง และมันก็แย่เกินไปที่หลี่เหว่ยยี่ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย เพราะด้วยทักษะของหลี่เหว่ยยี่นั้น เขาสามารถไล่ล่าและจับกุมมือสังหารได้อย่างรวดเร็ว


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน