ค่ำคืนนี้เป็นคืนที่เยือกเย็นราวกับผืนน้ำที่สงบนิ่ง
สายลมอันแสนเย็นยะเยือกในฤดูร้อนค่อย ๆ พัดผ่านไปอย่างช้า ๆ
ความมืดมิดดุจดั่งปีศาจกำลังกลืนกินและกัดเซาะร่องรอยแห่งแสงสว่างสุดท้ายบนโลกนี้ไปทีละนิด และเมื่อทั่วทั้งผืนฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด บรรยากาศก็ยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้น
ราตรีนี้ถูกกำหนดไว้ให้เป็นค่ำคืนที่แสนพิเศษ!
ทั้งเย่เชียน ม่อหลง ชิงเฟิง หลี่เหว่ยยี่และอู๋หวนเฟิงต่างก็ยืนอยู่บนทุ่งหญ้าอันโล่งกว้างในเขตชานเมือง พวกเขาหันหน้าไปประจบกับต้นสายลมยามค่ำคืนดั่งอสูรจากนรก
ณ เขตย่านชานเมืองที่ไม่มีความพลุกพล่านเหมือนใจกลางเมือง วัชพืชได้เติบโตและกลืนกินที่แห่งนี้ไปแล้วเสียส่วนใหญ่ บางครั้งมันเงียบเสียจนได้ยินเสียงแมลงบางชนิด ซึ่งส่งเสียงดังเป็นพิเศษในราตรีที่เงียบงันของค่ำคืนนี้
ถัดไปไม่ไกลนั้นเป็นฐานที่มั่นชั่วคราวของกองทหารรับจ้างเหยี่ยวดำทมิฬ มันเป็นอาคารเก่าทรุดโทรมตั้งเรียงกันเป็นแถว ๆ ซึ่งมันจะถูกใช้เป็นสมรภูมิรบสำหรับค่ำคืนนี้ กลุ่มเขี้ยวหมาป่าต้องระมัดระวังตัวกันเป็นพิเศษ เพราะอีกฝ่ายมีทหารรับจ้างเหยี่ยวดำทมิฬประมาณ 20 คนเดินลาดตระเวนอยู่รอบบริเวณ แต่พวกเขามีเพียงห้าคนเท่านั้น ซึ่งมันเท่ากับหนึ่งในสี่ และมันก็ยากนักที่จะบุกเข้าไปโจมตีแบบสุ่มสี่สุ่มห้า
หัวใจสำคัญของการทำสงครามในทุก ๆ ครั้งคือ การมีความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน ซึ่งสมาชิกที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาของกลุ่มเขี้ยวหมาป่านั้นมีความเข้าใจที่ดีต่อกันมากอยู่แล้ว พวกเขาเพียงแค่ใช้สายตามองและส่งสัญญาณมือให้กันเพื่อเป็นสัญญาณเคลื่อนพลเข้าไปใกล้จุดหมายไปทีละนิด ๆ
ความมืดในค่ำคืนนี้ช่วยทำให้พวกเขาเคลื่อนตัวได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น เพราะมันทำให้คู่ต่อสู้ค้นหาและตรวจจับได้ยากกว่ายามที่ยังมีแสงสว่าง ทว่าในขณะเดียวกันมันก็นำข้อเสียมากมายมาให้อีกด้วยเช่นกัน เพราะความมืดข้างหน้ามันก็ทำให้ไม่สามารถรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าคู่ต่อสู้อยู่ที่ไหน พิกัดตำแหน่งใด พวกเขาจึงทำได้เพียงค่อย ๆ เคลื่อนพลไปข้างหน้าและทำการค้นหาไปทีละนิด ซึ่งเมื่อพวกเขายิ่งเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ความยากและอันตรายก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น
ที่จริงแล้วเย่เชียนไม่ได้เรียกให้อู๋หวนเฟิงมาด้วย เพราะเขาไม่ต้องการให้อู๋หวนเฟิงมาเข้าร่วมในปฏิบัติการทำลายล้างเหยี่ยวดำทมิฬในครั้งนี้กับเขา แน่นอนว่ามันไม่ใช่เพราะเขาดูถูกอู๋หวนเฟิงหรืออะไร แต่มันเป็นเพราะหัวใจที่บอบช้ำของเย่เชียนที่พยายามจะหลีกเลี่ยงการมอบหมายงานที่ต้องเสี่ยงอันตรายให้แก่อู๋หวนเฟิงนั่นเอง
อย่างไรก็ตามเมื่ออู๋หวนเฟิงได้ยินข่าว มันก็ทำให้ในใจของเขานั้นร้อนรุ่ม เพราะเย่เชียนไม่ใช่เป็นเพียงแค่ผู้นำของกลุ่มเขี้ยวหมาป่าเท่านั้น แต่สำหรับเขาแล้วเย่เชียนเป็นคนที่ควรค่าแก่การสละชีวิตให้ มันเป็นความรู้สึกเหมือนกับพี่น้อง ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะสามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ แม้ว่าอู๋หวนเฟิงจะสูญเสียแขนข้างหนึ่งไปเพื่อเย่เชียนในอดีต แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะนำมาเป็นข้ออ้างในการหยุดร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเย่เชียนต่อไป เขาเชื่อว่าตราบใดที่เขาอยู่ที่นั่น มันก็จะไม่มีใครสามารถทำอะไรเย่เชียนได้
เย่เชียนเข้าใจความคิดของอู๋หวนเฟิงเป็นอย่างดี หลังจากเห็นเขามาด้วย เย่เชียนก็ตบบ่าของเขาเบา ๆ โดยไม่ได้พูดอะไรเพราะทุกสิ่งทุกอย่างแสดงออกอย่างชัดเจนผ่านการกระทำมากกว่าคำพูดอยู่แล้ว
หลี่เหว่ยยี่เดินนำหน้า เย่เชียนอยู่ตรงกลาง ชิงเฟิงอยู่ทางซ้ายและอู๋หวนเฟิงอยู่ทางขวา ส่วนม่อหลงนั้นเดินนำหน้าไปก่อนแล้ว พวกเขาทั้งหมดใช้อุปกรณ์ในออกรบชั้นยอด หลี่เหว่ยยี่ถือปืนไรเฟิลจู่โจมเอสจีห้าห้าสองของประเทศสวิตเซอร์แลนด์และยังมีจุดห้าศูนย์ ดีเอเกิ้ลประจำตัวเหน็บอยู่ที่เอวด้วยอีกกระบอก ส่วนชิงเฟิงและอู๋หวนเฟิงนั้นถือปืนไรเฟิลจู่โจมจีสามหกของเยอรมนี แต่อู๋หวนเฟิงนั้นมีมีดบินหลายเล่มเหน็บอยู่รอบตัว ส่วนที่เอวของชิงเฟิงนั้นมีปืนพกคู่เก้าสิบสองเอฟอยู่สองกระบอก ทางด้านเย่เชียน เขาถือปืนไรเฟิลจู่โจมเอ็กซ์เอ็มแปดหนึ่งกระบอกและที่รองเท้าคอมแบทของเขาก็มีมีดหมาป่าสีเลือดที่กำลังแผ่จิตสังหารด้วยคลื่นแห่งความตายอย่างรุนแรงอยู่ตลอดเวลาเสียบอยู่ด้วย ในขณะที่คนอื่น ๆ มีเพียงมีดทหารเอ็มเก้าเท่านั้น ส่วนม่อหลงถือปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติวีเอสเค เก้าสี่ ที่มีความแม่นยำสูงและเก็บเสียงได้อย่างยอดเยี่ยม
ประสิทธิภาพระดับสูงสุดของพลซุ่มยิงคือ การแสดงความแม่นยำและความตาย ดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘หนึ่งนัด… หนึ่งความตาย’ ของปืนสไนเปอร์ไรเฟิล ในขณะที่พวกเขากำลังเคลื่อนพลกันเข้ามา ม่อหลงก็นำหน้าพวกเขามาก่อนแล้ว ซึ่งม่อหลงนั้นคือผู้อยู่จุดสูงสุดของเหล่าพลซุ่มยิงอย่างไม่ต้องสงสัย
ลมพัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เหล่าต้นไม้ใบหญ้าต่างก็โอนเอนไปมา ความมืดมนเข้าครอบคลุมมากขึ้นทุกทีราวกับว่าพายุลูกใหญ่กำลังจะถาโถมเข้ามาในไม่ช้า
ทุกอย่างเป็นไปตามที่แจ็คคาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิดว่าเหล่าทหารรับจ้างเหยี่ยวดำทมิฬจะมีการเตรียมความพร้อมสำหรับการป้องกันและตั้งรับเอาไว้ เพราะหลังจากที่เย่เชียนและคนอื่น ๆ เดินเข้ามาในระยะประชิดแล้ว พวกเขาก็เห็นเงาของคนหลายคนเดินไปเดินมาอยู่ด้านบนของอาคารหลังนี้ เย่เชียนชูแขนของเขาขึ้นเล็กน้อยแล้วกำมือแน่นเพื่อให้ทุกคนหยุดและหมอบต่ำลง จากนั้นเขาก็เรียกชิงเฟิงด้วยภาษามือ ชิงเฟิงพยักหน้าตอบรับเมื่อเห็นสัญญาณจากเย่เชียนแล้วจึงเดินย่องเข้าไปใกล้ ๆ ละแวกอาคารที่ทรุดโทรมนั้นอย่างรวดเร็ว
บริเวณด้านหลังของอาคาร ชิงเฟิงดึงเชือกที่มีตะขอเกี่ยวออกมาและโยนมันขึ้นไปด้านบน จากนั้นเขาก็ปีนเชื้อเส้นนั้นขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เมื่อปีนขึ้นไปถึงด้านบนของตัวอาคาร จากระยะห่างราว ๆ สิบเมตร ชิงเฟิงก็เห็นอะไรแวบ ๆ จากทางหางตาของเขา วินาทีเดียวกันนั้นเองที่มีดทหารเอ็มเก้าที่อยู่ในมือของเขาพุ่งเข้าไปเจาะเข้าที่ร่างกายของอีกฝ่ายอย่างแม่นยำ ก่อนที่เงาดำนั้นจะตอบสนองได้ เขาก็ล้มลงไปกับพื้นเสียแล้ว จากนั้นชิงเฟิงก็ลากศพของอีกฝ่ายไปซ่อนไว้ข้าง ๆ และกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อยู่สักพัก หลังจากยืนยันว่าไม่มีใครอยู่ที่ด้านบนสุดของอาคารอีกแล้ว ชิงเฟิงก็เดินไปที่ขอบของอาคารและหยิบปืนไรเฟิลจู่โจมออกมาและเปิดเลเซอร์จากปืนชี้ไปที่ทิศทางของพวกเย่เชียน เนื่องจากพวกเย่เชียนนั้นใส่แว่นไนท์วิชั่นอินฟราเรดอยู่ พวกเขาก็เห็นจุดแดง ๆ เป็นสัญญาณของชิงเฟิง
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน