ภายในห้องประชุมของสโมสรนั้นมีผู้บริหารเจ็ดคนกำลังนั่งรออยู่รอบโต๊ะกลม แต่ละคนมีความในใจเขียนไว้บนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาทั้งหมดอยากรู้ว่าตัวตนของผู้ที่สืบทอดของเฉินฟู่เฉิงจะเป็นคนแบบไหน
ไม่นานนักเย่เชียนก็เดินเข้ามา แต่เมื่อเขาเดินมาถึงที่นั่งของประธานเขากลับยังไม่นั่งลงไปในทันที เขาเพียงกวาดสายตามองไปที่ผู้บริหารทั้งเจ็ดทีละคน ๆ ซึ่งสายตาของเขานั้นไม่มีความกลัวหรือความหวั่นเกรงใด ๆ แม้แต่น้อย
เห็นได้ชัดว่าผู้บริหารทั้งเจ็ดคนไม่ได้คาดคิดเลยว่าผู้สืบทอดของเฉินฟู่เฉิงจะเป็นเด็กหนุ่มที่อายุน้อยเช่นนี้ มันทำให้พวกเขารู้สึกโกรธเล็กน้อยในแง่ของความอาวุโส เพราะพวกเขาเชื่อว่าผู้ที่มีความอาวุโสและประสบการณ์เท่านั้นที่จะเหมาะกับการครอบครองตำแหน่งนี้ ซึ่งดูจากภายนอกแล้วเด็กอย่างเย่เชียนนั้นมันช่างไม่เหมาะสมกับตำแหน่งเป็นอย่างยิ่ง
“ต้องขอโทษทีที่ปล่อยให้ทุกคนต้องรอนาน มา! เรามาทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการดีกว่า ผมชื่อเย่เชียนที่มีหมายความว่าอ่อนน้อมถ่อมตนยังไงล่ะ” เย่เชียนพูดขณะที่มองไปยังผู้บริหารทั้งเจ็ด
ทั้งคำพูด แววตาและท่าทางของเย่เชียนในตอนนี้มันดูทรงพลังอย่างมาก และเมื่อรวมกับจิตสังหารและเจตนาฆ่าอันแรงกล้าที่เปล่งออกมาจากอู๋หวนเฟิงที่ยืนอยู่ข้างหลังเย่เชียนแล้ว มันยิ่งทำให้อุณหภูมิภายในห้องประชุมรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว ผู้บริหารทั้งเจ็ดจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
หลังจากที่หยุดไปชั่วขณะ เย่เชียนก็พูดขึ้นว่า “ในเมื่อทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ต่างก็เป็นถึงผู้บริหารที่คอยจัดการดูแลธุรกิจต่าง ๆ ของบริษัท นั่นแสดงว่าพวกคุณก็เป็นคนชนชั้นสูงเช่นกัน ถ้าอย่างงั้นทำไมพวกคุณถึงจะไม่เข้าใจเรื่องของการทำความเคารพล่ะ ? ผมยืนคุยกับพวกคุณอยู่อย่างนี้ แต่พวกคุณก็ยังจะนั่งอยู่ได้!” น้ำเสียงของเย่เชียนฟังดูจริงจังขึ้นเรื่อย ๆ อาจกล่าวได้ว่ามันมีความโกรธเกรี้ยวแฝงอยู่ในคำพูดเหล่านั้น
ทุกคนตกตะลึงไปชั่วขณะ พวกเขาไม่คิดว่าเย่เชียนจะมีความกล้าและทรงพลังเช่นนี้ เพราะเมื่อตอนที่เฉินฟู่เฉิงยังคงมีชีวิตอยู่นั้นไม่มีใครเลยที่จะกล้าทำมาอะไรพวกเขา แล้วไอ้เด็กนี่มันเป็นใครมาจากไหน ถึงได้กล้ามาพูดจาจองหองกับคนที่อยู่มาก่อนอย่างพวกเขาได้
“อย่ามามัวพูดจาพิรี้พิไรอยู่เลยดีกว่า มีอะไรก็รีบ ๆ พูดมาเถอะหน่า พวกเราทุกคนไม่ได้มีเวลาว่างกันทั้งวันนะ!” กู๋หมิงเซียง ผู้บริหารที่รับผิดชอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์พูดขึ้น เขาพูดจาราวกับว่าเย่เชียนนั้นเป็นแค่ไอ้เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนหนึ่งและไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย ตั้งแต่ตอนที่เฉินฟู่เฉิงยังมีชีวิตอยู่ กู๋หมิงเซียงคนนี้พยายามที่จะหาเรื่องแบ่งแยกและแย่งชิงอำนาจความเป็นใหญ่มาโดยตลอด จนในที่สุดหลังจากที่เฉินฟู่เฉิงตายไป มันก็ทำให้เขารู้สึกมีอำนาจมากขึ้นในฐานะผู้บริหารคนสำคัญของบริษัทคนหนึ่ง
มุมปากของเย่เชียนฉีกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ตะคอกอย่างเย็นชาว่า “ใครอนุญาตให้คุณพูด !?”
“หนอยไอ้เด็กนี่… แกเพิ่งจะย่างเท้าเข้ามาในบริษัทอย่ามาทำตัวจองหองไปหน่อยเลย แกคิดว่าการที่แกได้รับเลือกจากเฉินฟู่เฉิงให้มาเป็นประธานคนต่อไปมันจะทำให้แกกลายเป็นเจ้าชายของที่นี่งั้นเรอะ ?” กู๋หมิงเซียงพูดอย่างเดือดดาล “แกมันไม่มีคุณสมบัติมากพอ กะอีแค่เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนนึงจะไปทำอะไรได้ ?”
ผู้บริหารคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกชอบใจไปกับคำพูดของกู๋หมิงเซียง พวกเขานั้นต่างก็กำลังตั้งหน้าตั้งตารอดูว่าเย่เชียนจะทำยังไงต่อไป ก่อนที่จะตัดสินใจว่าตนเองจะวางตัวแบบไหนในอนาคตกับท่านประธานคนใหม่คนนี้
เย่เชียนขมวดคิ้วและมีเจตนาฆ่าแผ่ออกมาจากสายตาของเขาอย่างรุนแรง แต่ก่อนที่เย่เชียนจะมีโอกาสได้พูดอะไรออกไป อู๋หวนเฟิงก็พุ่งไปข้างหน้าและคว้าผมของกู๋หมิงเซียงโดยไม่ลังเล วินาทีนั้นเองที่เขาเอาหัวของกู๋หมิงเซียงกระแทกเข้ากับโต๊ะประชุม ไม่เพียงเท่านั้นเขายังใช้มีดบินแทงเข้าไปที่ฝ่ามือของกู๋หมิงเซียงอย่างรุนแรง ทำให้ใบมีดนั้นได้ปักทะลุมือของกู๋หมิงเซียงเข้าไปติดกับโต๊ะประชุม



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน