เมื่อมองดูไป๋ฮวยที่กำลังเดินจากไปเย่เชียนก็รู้สึกสูญเสีย เขารู้ดีว่าหลังจากวันนี้ไปเขาและไป๋ฮวยนั้นคงจะกลายเป็นคู่แข่งและศัตรูกันอย่างเต็มตัว ทว่าเขานั้นจะสามารถปฏิบัติตัวกับไป๋ฮวยเยี่ยงศัตรูได้หรือไม่นั่นมันอีกเรื่อง ? เพราะถึงยังไงแล้วเย่เชียนก็ยังคงต้องแบกรับความคาดหวังและชีวิตของพี่น้องเขี้ยวหมาป่าทุกคนเอาไว้บนบ่าอยู่ดี ถ้าเขายังคงไม่คิดว่าไป๋ฮวยเป็นศัตรูอีกล่ะก็ นั่นก็หมายความว่ากลุ่มเขี้ยวหมาป่าอาจจะสูญสิ้นและถูกทำลายลงอย่างแน่นอน
ซึ่งเย่เชียนรู้สึกกลัวเล็กน้อย มันไม่ใช่การกลัวความตาย แต่เขากลัวการมาถึงของวันนั้น วันที่เขาจะต้องเผชิญหน้ากับไป๋ฮวยในฐานะศัตรูคู่แค้น ซึ่งมันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกันกับที่ไป๋ฮวยพูดเอาไว้ว่าเย่เชียนนั้นเป็นคนที่จมปลักอยู่กับอดีตมากเกินไป มันคือจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของเย่เชียน บางทีความแตกต่างระหว่างทั้งสองคนนั้นอาจจะเป็นสิ่งนี้นี่เอง ที่อีกคนล้วนมีแต่มิตรภาพ ในขณะที่อีกคนมีแต่ความเกลียดชัง
หยูซิงเหลือบมองไปที่ประตูและเห็นว่าเย่เชียนนั้นกำลังนั่งหน้าเครียดอย่างไม่สบอารมณ์อยู่ที่นั่น เขาไม่กล้าที่จะเข้าไปขัดจังหวะ หยูซิงจึงค่อย ๆ เดินออกไปแล้วปิดประตูไล่หลังตัวเองอย่างเงียบ ๆ
หัวใจของเย่เชียนในตอนนี้นั้นเต้นระรัวอยู่ตลอดเวลาเหมือนกับคลื่นซัดโหมกระหน่ำ เขาไม่ใช่คนที่ไม่มีความคิดหรือเป็นคนไม่มั่นคงอะไร แต่เมื่อเขาต้องเผชิญกับเรื่องของไป๋ฮวยผู้มีพระคุณของเขาแล้ว เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะสูญเสียความเป็นตัวเองไปอย่างช่วยไม่ได้ เพราะคนคนนั้นก็คือเพื่อนและพี่ชายที่เย่เชียนเคยให้ความสำคัญมากที่สุด แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาคนนั้นก็กลับกลายเป็นศัตรูที่แท้จริงของเหล่าพี่น้องเขี้ยวหมาป่า
กว่าจะรู้ตัวอีกทีเย่เชียนก็นั่งอยู่ที่นั่นมาหลายชั่วโมงแล้ว…
สภาพอากาศนอกหน้าต่างนั้น ดวงอาทิตย์ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำและแสงก็ส่องลอกผ่านก้อนเมฆออกมาสลัว ๆ ราวกับว่าพายุลูกใหญ่กำลังจะถาโถม
เมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เย่เชียนก็ตื่นจากความคิดต่างๆ ที่วิ่งวนอยู่ในหัวของเขาและเห็นว่าเป็นอู๋หวนเฟิงนั่นเองที่เปิดประตูเข้ามา หลังจากที่อู๋หวนเฟิงเห็นสีหน้าท่าทางของเย่เชียนแล้ว เขาก็ผงะเล็กน้อยแล้วจึงเดินเข้าไปนั่งใกล้ ๆ กับเย่เชียนจากนั้นก็ถามขึ้นว่า “เมื่อกี้ตอนที่ผมมา มีคนบอกว่าเฝิงเฝิงส่งคนมาพาเด็กพวกนั้นกลับไปแล้วเหรอ ?”
“อืม!” เย่เชียนพยักหน้าตอบ
“เกิดอะไรขึ้นบอส!” อู๋หวนเฟิงถามด้วยความประหลาดใจ
“ไป๋ฮ่วยมาที่นี่เมื่อกลางวัน” เย่เชียนพูด
“อย่าบอกนะว่าคือไป๋ฮวยคนนั้น ?” อู๋หวนเฟิงขมวดคิ้วและถามด้วยความประหลาดใจ ขนาดอู๋หวนเฟิงที่เป็นคนที่มีความสงบสุขุมมาโดยตลอดก็ยังถึงกับรู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้ยินชื่อไป๋ฮวย เพราะชื่อของไป๋ฮวยสำหรับพี่น้องเขี้ยวหมาป่าแล้ว เขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวในโลกของทหารรับจ้าง กระทั่งปัจจุบันก็ยังคงมีหลายคนที่พูดกันว่าไป๋ฮวยนั้นน่ากลัวราวกับผี เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยโค่นล้มองค์กรทหารรับจ้างกลุ่มหนึ่งที่มีสมาชิกมากกว่าหนึ่งร้อยคนด้วยตัวของเขาเองเพียงลำพัง ซ้ำร้ายคือคนจำนวนกว่าหนึ่งร้อยคนนั้นไม่เคยได้เห็นการปรากฏตัวของไป๋ฮวยหมาป่าผีคนนี้เลยแม้แต่เงา ซึ่งบันทึกเหตุการณ์ในครั้งนั้นเพียงอย่างเดียว มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขายืนอยู่แนวหน้าของโลกแห่งทหารรับจ้างอย่างภาคภูมิ เหตุการณ์ในครั้งนั้นคือต้นกำเนิดของฉายาหมาป่าผีของไป๋ฮวย
เย่เชียนเพียงพยักหน้าตอบและไม่ได้พูดอะไรต่อ
“เขาว่าไงบ้าง ?” อู๋หวนเฟิงถามด้วยความกังวลเมื่อมองไปที่ท่าทางของเย่เชียน เขารู้ว่าในใจของเย่เชียนนั้น ไป๋ฮวยเป็นคนที่สำคัญมาก ทว่าโชคชะตามันดันเล่นตลกให้ไป๋ฮวยกลับกลายเป็นศัตรูของกลุ่มเขี้ยวหมาป่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เขาบอกว่าไม่ช้าก็เร็วเขาจะได้พบกับพวกเราในสนามรบในฐานะศัตรูและจะไม่ปรานีพวกเรา” เย่เชียนพูด
“บอส! เขาก็พูดถูกแล้วไง เพราะเรื่องระหว่างกลุ่มเขี้ยวหมาป่ากับเขา มันถูกลิขิตให้เป็นศัตรูต่อกันและไม่มีทางที่จะอยู่ร่วมกันได้ตั้งแต่วันที่เขาตัดสินใจทรยศพวกเราแล้ว ผมรู้ว่าเขาเคยเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดของบอส แต่ถึงยังไงคนอย่างเขาจะไม่มีวันที่จะแสดงความเมตตาออกมาให้ศัตรูได้เห็น บอสจำไม่ได้เหรอว่าถ้าหากเราไม่มีใจที่จะปลิดชีพศัตรูล่ะก็ มันจะกลายเป็นเราเองที่จะเป็นฝ่ายที่ต้องจบชีวิตลง” อู๋หวนเฟิงพูดเตือนสติอย่างกังวล
แน่นอนว่าเย่เชียนนั้นเข้าใจอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่อู๋หวนเฟิงพูดนั้นเป็นความจริง แต่เย่เชียนก็ยังคงไม่สามารถตัดสินใจอย่างเด็ดขาดได้ ไม่ใช่ว่าเขาอ่อนแอหรืออะไร แต่เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับไป๋ฮวยผู้เป็นดั่งพี่ชายแล้ว เย่เชียนก็ไม่สามารถที่จะมีเจตนาฆ่าต่อเขาได้เลย


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน