เป็นเรื่องที่น่าแปลกเช่นกันที่แม้ว่าไป๋ฮวยจะกำลังมีมีดบินปักอยู่ที่หน้าอก แทนที่เขาจะรู้สึกเจ็บปวดกับบาดแผลนั้น แต่มันตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง! ไป๋ฮวยกำลังยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน เขาคงกำลังคิดอยู่ในใจว่า ‘นายคิดจะตายไปพร้อม ๆ กันกับฉันงั้นสิ ? หึ ๆ อย่าดีกว่าหน่า เพราะฝีมือฉันกับนายมันยังคนละชั้นกัน’
อู๋หวนเฟิงได้แต่ยืนดูไป๋ฮวยหมุนตัวกลับ พร้อมกันนั้นเขาก็ดึงมีดบินที่ปักอยู่บนหน้าอกของตัวเองออก ทว่ามีดรูปร่างประหลาดของไป๋ฮวยยังคงเสียบอยู่ที่อกของเขาอย่างแน่นหนา อู๋หวนเฟิงไม่คิดที่จะดึงมันออกให้เสียเลือดมากขึ้นแต่อย่างใด แต่กลับกำลังคิดในใจว่าตัวเองนั้นไม่มีเวลาหรือจังหวะเลยที่จะดึงมีดอีกเล่มออกมาจู่โจมไป๋ฮวย
อู๋หวนเฟิงได้แต่แสดงรอยยิ้มที่ขมขื่นบนใบหน้าพร้อมกับความรู้สึกขอโทษ เขาคิดกับตัวเองในใจอย่างลับ ๆ เป็นครั้งสุดท้ายว่า ‘บอส… ผมขอโทษ! ผมมันไม่มีความสามารถมากพอที่จะฆ่าเขาเพื่อบอสได้’
ในช่วงเวลาแห่งความวิกฤตและสิ้นหวังนี้ จู่ ๆ ไป๋ฮวยก็รู้สึกได้ถึงจิตสังหารและเจตนาฆ่าที่รุนแรงอย่าหาที่เปรียบมิได้มาจากด้านหลังของเขา มันเป็นเจตนาฆ่าของปีศาจและจิตสังหารของศาสตราวุธแห่งการทำลายล้างอย่างสมบูรณ์แบบ ไป๋ฮวยรู้ดีว่าหากเขายังคงต้องการที่จะฆ่าอู๋หวนเฟิงในตอนนี้ล่ะก็ เขาจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงความตายจากด้านหลังของเขาได้ แต่หากเขาต้องการที่จะมีชีวิตรอด เขาจำเป็นที่จะต้องล้มเลิกการฆ่าอู๋หวนเฟิงไปก่อนอย่างไม่มีทางเลือก
เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วไป๋ฮวยก็หันกลับไปดูทางด้านหลังของตัวเอง วินาทีนั้นเองที่เขาเห็นร่างของเย่เชียนยืนอยู่ไม่ไกล เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นและพุ่งตัวหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว
เย่เชียนนั้นยังคงพยายามตามหาตัวจ้าวหยาอยู่ เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะได้มาเห็นเหตุการณ์แบบนี้เข้า เย่เชียนจึงไม่มีทางทางเลือกอื่นนอกจากต้องโจมตีไป๋ฮวยจากด้านหลัง ซึ่งมันก็มีวิธีนี้เพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่เขาจะช่วยอู๋หวนเฟิงได้ ทว่าเย่เชียนเองก็รู้ดีว่าจิตใต้สำนึกของเขานั้นยังคงปฏิเสธที่จะฆ่าไป๋ฮวย เพราะไม่เช่นนั้นป่านนี้ไป๋ฮวยก็คงจะต้องตายไปเมื่อครู่นี้แล้วอย่างแน่นอน
“บอส!” อู๋หวนเฟิงตะโกนออกมาด้วยความรู้สึกผิด
เย่เชียนตบไหล่ของอู๋หวนเฟิงเบา ๆ และไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป แต่มันก็ทำให้อู๋หวนเฟิงรู้ได้ถึงความหมายของเย่เชียน เพราะมันคือความห่วงใยกันระหว่างพี่น้อง ซึ่งบางครั้งมันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดอะไรกันเลยสักคำเดียว
“ไม่ได้เจอกันมาตั้งนาน… นายเก่งขึ้นเยอะเลยนี่หว่า” ไป๋ฮวยพูดเยาะเย้ย
“ไม่หรอก” เย่เชียนตอบสั้น ๆ
ไป๋ฮวยมองไปที่เย่เชียนด้วยสายตาดูถูกแล้วพูดว่า “ดี! ถ้างั้นเจอกันครั้งหน้า นายก็อย่าทำให้ฉันผิดหวังก็แล้วกัน!”
“พี่จำสิ่งที่ท่านอาจารย์เคยพูดเอาไว้ได้มั้ย ? ว่าการเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายนั้นมันทำให้เราสามารถรับรู้ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายคิดได้น่ะ” เย่เชียนถาม
“หืม ? แล้วไงล่ะ ? รู้แล้วมันจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้งั้นเรอะ ?” ไป๋ฮวยพูดอย่างดูถูกเหยียดหยาม
เย่เชียนได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความปลง เขารู้ดีว่าวินาทีนั้นไป๋ฮวยคิดที่จะฆ่าอู๋หวนเฟิงจริง ๆ ถ้าหากว่าเขาไม่ก้าวเข้ามาก่อนหน้านี้ล่ะก็ ป่านนี้อู๋หวนเฟิงก็คงจะต้องตายลงด้วยน้ำมือของไป๋ฮวยไปแล้ว
“ผมหวังว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พี่จะไม่ทำมาอะไรกับพี่น้องของเขี้ยวหมาป่าอีก! เพราะถ้าพี่ต้องการที่จะทำลายกลุ่มเขี้ยวหมาป่าจริง ๆ ล่ะก็ พี่ก็แค่มาสะสางกับผมโดยตรงก็แค่นั้น!” เย่เชียนพูดอย่างเดือดดาล
“ดูเหมือนนายจะเริ่มรู้ตัวแล้วสินะ” ไป๋ฮวยยังคงพูดด้วยสีหน้าที่เย้ยหยัน
“พี่ก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจดีนะว่าถ้าเราสองคนคิดจะสู้กันอย่างจริงจังแล้วล่ะก็ ผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นยังไง!” เย่เชียนพูด
ใบหน้าที่เย้ยหยันของไป๋ฮวยเปลี่ยนไปเป็นมืดมนทันที เห็นได้ชัดว่าเขานั้นรู้ดีถึงผลลัพธ์ที่จะออกมาเช่นกัน มันเป็นไปได้มากว่าพวกเขาทั้งสองจะต้องพ่ายพ้ต่อกันไปทั้งคู่ แต่ทว่าเขาก็ยังคงตะคอกออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “งั้นเรอะ ? ฉันหวังว่านายจะยังคงมั่นใจแบบนั้นเมื่อถึงเวลานั้นเข้าจริง ๆ ล่ะนะ”
หลังจากนั้นไป๋ฮวยก็พุ่งตัวเข้าไปในมุมมืดใกล้ ๆ และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะถอนหายจะออกมาเฮือกใหญ่ เพราะเวลานี้เขารู้ตัวแล้วว่า ตัวเองคงไม่สามารถทำให้ไป๋ฮวยกลับคืนสู่อดีตได้อีกแล้ว และถ้าหากเขายังคงปฏิเสธที่จะฆ่าไป๋ฮวยอยู่ล่ะก็ ผลที่ตามมามันก็จะเป็นดั่งดาบสองคมที่จะทำร้ายทั้งเขาและพี่น้องเขี้ยวหมาป่าเท่านั้น
“นายเป็นไงบ้าง ?” เย่เชียนถามหลังจากที่มองไปที่อู๋หวนเฟิง
อู๋หวนเฟิงยิ้มตอบอย่างขมขื่นว่า “หมาป่าผีก็คือหมาป่าผีวันยังค่ำ! ถ้าบอสมาช่วยผมไว้ไม่ทัน ป่านนี้ผมคงจะตายไปแล้ว”
“นายอย่าทำแบบนี้อีกนะ ฉันเป็นผู้นำของกลุ่มเขี้ยวหมาป่า ถ้ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นกับกลุ่มเขี้ยวหมาป่าล่ะก็ ฉันก็ต้องเป็นคนที่เผชิญหน้ากับมันก่อนใคร! เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ฉันขอโทษ… พี่น้องของเราไม่ควรที่จะต้องแบกรับมันเอาไว้แบบนี้” เย่เชียนพูด
อู๋หวนเฟิงมองไปที่เย่เชียนและพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ
จู่ ๆ โทรศัพท์มือถือของเย่เชียนก็ดังขึ้น เมื่อเย่เชียนหยิบออกมาดูมันก็เป็นสายของจ้าวหยา เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็รีบรับสายทันที
“นี่! เย่เชียน… นายช่วยมารับฉันหน่อยได้มั้ย ?” เสียงของจ้าวหยาที่ฟังดูหงุดหงิดและฉุนเฉียวก่อนหน้านี้นั้น ในตอนนี้มันกลับกลายเป็นน้ำเสียงที่ดูไม่ค่อยจะดีนัก
“ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ? รู้มั้ยว่าฉันน่ะขับรถวนหาเธอตั้งนาน!” เย่เชียนถามอย่างร้อนรน
“ฉันไม่รู้… ฉันไม่รู้ว่าที่นี่มันคือที่ไหน” จ้าวหยาพูดเสียงสั่น
“เธอใจเย็น ๆ ก่อน แล้วลองมองดูรอบ ๆ ซิว่ามันมีตึกหรืออะไรที่ดูสะดุดตาบ้างมั้ย ?” เย่เชียนพูดอย่างใจเย็น


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน