หวังยู่นั่นเองที่เป็นคู่กรณีของจู้เหมา!
เป็นเรื่องน่าแปลกที่ทุกครั้งที่เย่เชียนต้องพบกับหวังยู่ มันมักจะมีเหตุการณ์ไม่ดีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นเสียทุกทีไป ครั้งนี้ก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ได้ยินว่าทั้งสองคนคุยกันว่ายังไง แต่ดูจากสีหน้าท่าทางแล้วคงจะไม่น่าจะตกลงกันได้ เย่เชียนถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะยิ้มมุมปาก ทั้งที่เธอกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบากแท้ ๆ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง มันกลับทำให้เย่เชียนรู้สึกมีความสุขที่ได้เจอกับเธออีกครั้ง
ทันใดนั้นเองเย่เชียนก็ตัดสินใจเดินลงไปช่วยหวังยู่!
เมื่อหวังยู่เห็นเย่เชียนเดินเข้ามาหา เธอก็ตกตะลึงไปในทันที เธอคิดว่าโชคชะตามันคงกำลังเล่นตลกอะไรกับเธออยู่อย่างนั้นใช่มั้ย ? ทั้งที่เธอกำลังจะลืมเขาได้อยู่แล้วแท้ ๆ แต่ตอนนี้เขาดันมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเธอ มันทำให้ภาพต่าง ๆ ระหว่างเขากับเธอที่เคยเกิดขึ้นในอดีตแวบกลับเข้ามาในหัวอย่างช่วยไม่ได้
“อย่าบอกนะว่าคุณลืมหน้าผมไปแล้วน่ะ” เย่เชียนจงใจพูดหยอกล้อเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันดูตึงเครียดจนเกินไป
“นายมาอยู่นี่ได้ไง ?” หวังยู่ถาม
“คงจะเป็นโชคชะตาที่นำพาให้ผมมาอยู่ที่นี่ล่ะมั้ง” เย่เชียนพูด “คุณโอเครึเปล่า เจ็บตรงไหนมั้ย ?”
“ฉันไม่เป็นไร… แต่รถบุบหมดเลย” หวังยู่ส่ายหัวและพูดต่อไปว่า “แถมเขายังหน้าไม่อายมาเรียกค่าเสียหายจากฉันอีก ก็เห็นกันอยู่ว่าเขาเองนั่นแหละที่อยู่ ๆ ก็เบรกกะทันหัน…”
“เอาหน่า… อย่าไปใส่ใจเลย” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มที่ซุกซน จากนั้นเขาก็หันไปมองจู้เหมาแล้วพูดว่า “นายน้อยจู้… คุณช่วยไว้หน้าผมหน่อยจะได้มั้ย ?”
เย่เชียนนั้นไม่ได้เกรงกลัวต่อจู้เหมาหรือแม้กระทั่งพ่อของเขาจู้ซานเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ตอนนี้เขาคิดว่ามันไม่จำเป็นต้องทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่
จู้เหมาไม่พอใจที่จู่ ๆ ก็มีชายหนุ่มแปลกหน้าที่ไหนไม่รู้กล้ามาพูดให้เขาไว้หน้าตัวเองแบบนี้ เขารู้สึกเสียหน้าจึงโวยวายใส่ตำราวจจราจรผู้โชคร้ายคนนั้นพร้อมกับตบหน้าเขาแถมไปอีกหนึ่งฉาด!
“ไอ้เวรเอ๊ย! หมาตัวไหนมันกล้ามาพูดจาแบบนี้กับคนอย่างฉันวะ ?” จู้เหมาตะโกน จากนั้นก็หันไปมองเย่เชียนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม “แกเป็นใครวะ ? แล้วทำไมฉันถึงต้องไว้หน้าแกด้วย ?”
“นายน้อยจู้… คุณน่ะเป็นถึงคนใหญ่คนโตแล้วทำไมถึงต้องมาเสียเวลาไปกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ด้วยล่ะ ?” เย่เชียนยังคงพูดอย่างเฉยเมยและไม่มีท่าทีที่หวั่นเกรงใด ๆ
จู้เหมาคิดแค่ว่าชายหนุ่มตรงหน้าคงเป็นแค่พลเมืองดีที่ชอบมาสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่นและพยายามทำตัวเป็นวีรบุรุษเพียงเท่านั้น เขาจึงพูดต่อไปว่า “แกเป็นเพื่อนกับเธอเรอะ ?”
“ใช่… ผมเป็นเพื่อนเธอ” เย่เชียนตอบ
“ก็ได้! นี่ฉันเห็นแกใจกล้ามาพูดขอร้องฉันหรอกนะ ถ้าอย่างงั้นแกมาคุกเข่าของแกลงตรงหน้าฉันนี่ แล้วกราบขอโทษฉันด้วยสามครั้งแล้วฉันจะไม่ติดใจกับเรื่องนี้อีก” จู้เหมาพูดพร้อมวางมาด
เย่เชียนหัวเราะอยู่ในลำคออย่างเยือกเย็น เขาไม่ได้คิดที่จะทำให้เรื่องเล็ก ๆ แบบนี้ต้องกลายมาเป็นเรื่องใหญ่ อีกอย่างเขานั้นก็ไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวตนโดยไม่จำเป็นอีกด้วย แต่จู้เหมาคนนี้ช่างโอหังยิ่งนัก เขาคงคิดว่าตัวเองนั้นยิ่งใหญ่เสียเต็มประดา
“คุณไม่รู้หรือไงว่าเข่าของผู้ชายนั้นมีค่าดั่งทองคำ! นอกจากพ่อแม่กับคนที่ผมเคารพไม่กี่คนบนโลกเท่านั้นที่คนอย่างเย่เชียนจะยอมคุกเข่าให้!” เย่เชียนพูดเสียงเย็น
“เฮ้ย! แกว่าแกชื่อเย่เชียนงั้นเรอะ ? เย่เชียนคนนั้นที่ทุกคนกำลังพูดถึงงั้นเรอะ ?” จู้เหมาถามด้วยความตื่นตระหนก
“แล้วทำไมผมถึงต้องโกหกด้วยล่ะ ?” เย่เชียนพูด
“ทะ… ท่านประธานเย่! ถ้าผู้หญิงคนนี้เป็นเพื่อนของคุณล่ะก็ ผมจะยอมไม่เอาความแล้วก็ได้” จู้เหมาเหงื่อแตกเต็มหน้าผากถึงแม้ว่าเขาจะหยิ่งผยองหรือโอหังมากขนาดไหนก็ตาม แต่เขาก็รู้ดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันหมายความว่าอย่างไร แม้ว่าครอบครัวของเขาจะมีอิทธิพลเช่นกัน แต่ถ้าหากเขาทำให้เย่เชียนคนนี้ต้องขุ่นเคืองละก็ พ่อของเขาคงจะต้องเจอกับเรื่องที่ยากลำบากอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นจู้เหมาหันหลังกลับและกำลังจะเดินไปที่รถ เย่เชียนก็ตะโกนว่า “หยุด!”
จู้เหมาหันหน้ากลับมามองอย่างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากนั้นเขาก็พูดด้วยความหวาดกลัวว่า “ท่านประธานเย่… คุณมีอะไรอีกหรือครับ ?”
“อันที่จริงตอนแรกผมกะว่าจะไม่อะไรมากหรอกน่า แต่คุณก็ดันมาทำตัวหน้าไม่อายแบบนี้ใส่ทุกคนอีก แล้วตอนนี้คุณคิดว่าจะแค่เดินจากไปง่าย ๆ แบบนี้อย่างงั้นเหรอ ? คุณทำอะไรไว้ คุณก็ต้องชดใช้สิ!” เย่เชียนพูดเรียบ ๆ
“เอ่อ… แล้วท่านประธานเย่จะให้ผมทำอะไรล่ะครับ ?” จู้เหมาถามอย่างประหม่า
“คุกเข่าต่อหน้าผมแล้วไปได้” เย่เชียนพูด


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน