ชายชราผู้นี้เป็นใครกันนะ ? ทำไมจู่ ๆ เขาถึงกล้าเดินเข้ามาในห้องประชุมส่วนตัวของคนอื่นแบบนี้ได้ ? เฝิงเฝิงและคนอื่น ๆ ในห้องต่างก็ไม่เคยเห็นหน้าเขาจากที่ไหนมาก่อน แต่ดูจากท่าทางแล้วเขาก็ไม่น่าจะใช่ชายชราธรรมดา ๆ ทั่วไปอย่างแน่นอน
เมื่อเย่เชียนเหลือบมอง เขาก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมาเบา ๆ ว่า “เอ้า! ปู่มาที่เมืองหนานจิงทำไมกัน ?” เย่เชียนไม่เข้าใจเลยว่าชายชราคนนี้มาที่นี่เพื่อจุดประสงค์อะไรกันแน่ ? มันจึงช่วยไม่ได้ที่การปรากฎตัวของชายชราจะทำให้เขาค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจ
ชายชราผู้นี้ไม่ได้มีออร่าแห่งความกดดันเช่นเดียวกับเฝิงเฝิง ทว่ารอยยิ้มที่สุดแสนจะเรียบง่ายของเขานั้นมันกลับทำให้บรรยากาศในห้องประชุมไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ทุกคนในห้องยังคงไม่กล้าที่จะมีความเคลื่อนไหวใด ๆ จะมีก็แต่คนโง่อย่างกู๋หมิงเซียงเท่านั้นที่ต้องการใช้โอกาสนี้ในการแสดงความกล้าหาญโง่ ๆ ของเขา
“คุณเป็นใคร ? แล้วใครอนุญาตให้คุณเข้ามาที่นี่ ไม่รู้หรือว่าที่นี่น่ะมันเป็นห้องประชุมส่วนตัวนะ ถ้าเข้าใจแล้วกรุณารีบออกไปด้วย” กู๋หมิงเซียงพูดออกมาอย่างภาคภูมิ เขาพยายามที่จะแสดงความกล้าออกมาให้ซูเจี้ยนจุนและจู้ซานเห็นเพื่อที่เขานั้นจะได้มีโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต
สิ้นเสียงของกู๋หมิงเซียง รอยยิ้มอำมหิตก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายชราทันที แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไรต่อไปนั้น ชายอีกคนที่ยืนอยู่ทางด้านหลังก็ร้องขึ้นมาว่า “บังอาจ!” ก่อนที่เขาจะพุ่งตัวเข้าใส่กู๋หมิงเซียงและปล่อยทั้งกำปั้นทั้งลูกเตะใส่เขา
การกระทำนั้นทำให้คนในห้องตกตะลึงไปตาม ๆ กัน รอยยิ้มของชายชราลึกลับผู้นี้มันทำให้บรรยากาศในห้องดูเย็นยะเยือกยิ่งไปกว่าตอนที่เย่เชียนแผลงฤทธิ์เสียอีก
ขณะเดียวกันนั้นทางด้านของไป๋ฮวยที่ยังคงลักลอบสังเกตการณ์อยู่ที่ดาดฟ้าตึกตรงข้ามก็ขมวดคิ้วแน่น เขาพึมพำอยู่คนเดียวว่า “มันจบแล้วสินะ… ฉันคงทำอะไรไม่ได้แล้ว”
หลังจากที่จัดการกับกู๋หมิงเซียงเสร็จ ชายคนนั้นก็เดินกลับไปยืนอยู่ที่ด้านหลังของชายชราลึกลับตามเดิม ส่วนกู๋หมิงเซียงนั้นก็กำลังพยายามที่จะดันตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล เขารู้สึกหงุดหงิดและไม่พอใจมากเมื่อเห็นว่าซูเจี้ยนจุนและจู้ซานนั้นไม่ได้พยายามที่จะทำอะไรกับเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเลย พวกเขาเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นและมองดูเขาด้วยสายตาสมเพช มันทำให้กู๋หมิงเซียงอดคิดไม่ได้เลยว่า ถ้าตอนนี้ตัวเองเลือกที่จะอยู่ฝ่ายเดียวกับเย่เชียน ป่านนี้เขาก็คงจะกำลังทำอะไรบางอย่างนอกเหนือไปจากการยืนดูอยู่เฉย ๆ เป็นแน่
ชายชราหัวเราะในลำคอพร้อมกันนั้นเขาก็ตบไหล่ของกู๋หมิงเซียงไปด้วย “คุณคือกู๋หมิงเซียงใช่มั้ย ? หึ ๆ ๆ คุณรู้มั้ยว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่พวกที่ขายเพื่อนพ้องและศักดิ์ศรีของตัวเองน่ะ ไม่เคยจบสวยเลยจริง ๆ เว้นก็แต่ยุคสงครามต่อต้านญี่ปุ่นที่คนประเภทเดียวกับคุณจะมีประโยชน์อยู่บ้าง”
พูดจบชายชราก็เดินไปนั่ง เขากวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้อง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เอาล่ะ ๆ พวกคุณไม่ต้องตกใจไป มันเป็นแค่การทักทายเฉย ๆ หน่า”
เมื่อเย่เชียนได้ยินคำพูดของชายชรา เขาก็สงสัยว่านี่ปู่กำลังเล่นเกมอะไรให้ดูอยู่หรือเปล่า ? ซึ่งเมื่อชายชราเห็นสีหน้าท่าทางของเย่เชียนแล้ว เขาก็หัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน
นอกเหนือไปจากชายที่เพิ่งจะปล่อยหมัดใส่กู๋หมิงเซียงแล้ว ที่ด้านหลังของชายชรานั้นยังมีหญิงสาวอีกคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย ซึ่งตอนแรกที่เธอเดินเข้ามาในห้องและได้เห็นการต่อสู้ระหว่างเย่เชียนกับชายหัวโล้น สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปเป็นความเย้ยหยันทันที
“ท่านคะ… พวกข่าวลือที่ฉันเคยได้ยินมา มันก็เป็นแค่ข่าวลือเท่านั้นเองสินะคะ ฉันคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าเราจะได้เผชิญหน้ากันตรง ๆ ” หญิงสาวคนนั้นกระซิบถามชายชรา
เมื่อชายชราได้ฟัง เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วพูดว่า “ฮ่า ๆ ๆ เซียวหวัน… เธอน่ะยังไม่รู้จักหนุ่มน้อยคนนี้ดีเท่าฉัน เชื่อฉันสิฉันรับมือกับเขามาเยอะแล้ว ฉันน่ะรู้จักเขาดีเลยล่ะ”
เซียวหวันตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและถามว่า “ท่านหมายความว่ายังไงคะ ? อย่าบอกนะว่าเขายังไม่ได้เอาจริง ?”
ทว่าชายชรากลับไม่ตอบอะไร มีเพียงรอยยิ้มจาง ๆ เท่านั้นที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา…
มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่คนอย่างเซียวหวันจะรู้สึกสงสัยในตัวเย่เชียน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น เธอเคยได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือของเย่เชียนมาอย่างนับไม่ถ้วน อีกทั้งชายชราเองก็มักจะพูดถึงเขาให้เธอฟังอยู่บ่อย ๆ ซึ่งมันก็มีหลายต่อหลายเรื่องที่มันเหลือเชื่อและน่าทึ่งมากจนทำให้เธอต้องประหลาดใจอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันจึงทำให้เซียวหวันนั้นรู้สึกอยากที่จะเผชิญหน้ากับเย่เชียนตัวเป็น ๆ ดูสักครั้ง แต่ทว่าตั้งแต่ที่เย่เชียนกลับมาถึงประเทศจีน ชายชราก็สั่งห้ามอย่างเด็ดขาดไม่ให้ใครเข้าไปยุ่งกับเย่เชียน
ในที่สุดวันนี้เซียวหวันก็มีโอกาสได้พบกับเย่เชียนตัวเป็น ๆ เสียที แต่เมื่อเธอเห็นเขากำลังต่อสู้อยู่กับชายหัวโล้น เธอก็ต้องรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะเขานั้นไม่ได้ดูยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามอย่างที่เธอเคยได้ยินมาเลย ดูท่าทางแล้วเขานั้นเหมือนกับชายหนุ่มอายุแค่ยี่สิบต้น ๆ ธรรมดา ๆ อีกทั้งฝีมือการต่อสู้ก็ไม่ได้ดูน่าทึ่งหรือมีความพิเศษอะไรเลย แล้วเขาคนนี้เนี่ยนะที่จะเป็นถึงบุคคลที่น่าเกรงขามที่สุดในโลก ? นี่น่ะหรือราชาหมาป่าเย่เชียนผู้ยิ่งใหญ่ ?
เดิมทีเย่เชียนนั้นตั้งใจที่จะปลิดชีวิตของชายหัวโล้นคนนี้ไปซะ แต่ในเมื่อตอนนี้ชายชรานั้นมานั่งอยู่ให้ห้องด้วย เขาจึงจำเป็นต้องยกเลิกความคิดนั้นไปชั่วคราว ถึงแม่ว่าเย่เชียนจะไม่ได้มีความรู้สึกเกรงกลัวต่อชายชราคนนี้แต่อย่างใด แต่การฆ่าใครสักคนต่อหน้าเขามันก็ออกจะเกินไปหน่อย
ขณะเดียวกันเอง ชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังของชายชราก็คอยเฝ้ามองการต่อสู้ระหว่างเย่เชียนและชายหัวโล้นอยู่เช่นกัน ทว่าเขากลับไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใด ๆ เลยแม้แต่น้อย แต่ทุกคนที่รู้จักเขานั้นก็รู้ดีว่าในตอนนี้เขานั้นกำลังเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและเลือดเดือดที่ต้องการจะต่อสู้ และเขาเองก็ต้องการที่จะแสดงความเป็นรุ่นพี่และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเซียวหวันอยู่เสมอ เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้วเซียวหวันก็เหลือบมองเขาและถามเขาว่า “พี่จื่อจุ้น… พี่คิดว่ากี่นาที ?”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน