หลู่หลงกวงคุกเข่าลงไปที่พื้น จากนั้นเขาก็ใช้นิ้วชี้จิ้มลงไปที่ผงสีขาวนั่นขึ้นมาดมก่อนที่จะแตะมันไปที่ลิ้นเพื่อชิมรสชาติ
“เฮ้ย!!! นี่มันโคเคนหนิ ผู้อำนวยการเจียงมีสารเสพติดอยู่ในสถานีตำรวจด้วยเหรอ ? รู้มั้ยว่าผมสามารถฟ้องคุณข้อหาค้ายาได้เลยนะเนี่ย” หลู่หลงกวงอุทานขึ้น
เจียงเจิ้งยี่เห็นการกระทำของทนายหลู่หลงกวงแล้วก็ถึงกับต้องตกตะลึง นี่มันใส่ความกันชัด ๆ ไม่ใช่เหรอ ? ตกลงเขาเป็นทนายจริง ๆ หรือว่าเป็นแค่พวกนักต้มตุ๋นกันแน่ ?
อันที่จริงแล้วสิ่งที่เจียงเจิ้งยี่คิดนั้นก็ไม่ผิดนัก เพราะขนาดในแวดวงของทนายด้วยกันเอง พวกเขายังสงสัยในการทำงานของหลู่หลงกวงคนนี้เลยว่าตกลงเขานั้นเป็นทนายที่ฉลาดปราดเปรื่องหรือว่าเป็นทนายที่มีเล่ห์เหลี่ยมกันแน่
“คุณอย่ามาพูดจาไร้สาระนะ! ก็เห็นกันอยู่ไม่ใช่เหรอว่าคนของคุณเองนั่นแหละที่เป็นคนเอามันเข้ามา” เจียงเจิ้งยี่พูดด้วยความโกรธเกรี้ยว
“อ้าวคุณผู้อำนายการ! คุณจะมาพูดจาชุ่ย ๆ แบบนี้ไม่ได้นะครับ มีใครเห็นงั้นเหรอว่าคนของผมเป็นคนเอามันเข้ามาที่นี่น่ะ ? คุณจะมาปรักปรำกันสั่ว ๆ แบบนี้ไม่ได้” หลู่หลงกวงพูด
ย้อนไปก่อนหน้าที่ที่เย่เชียนถูกจับกุมตัวเข้ามาอยู่ในห้องสอบสวน โดยปกติแล้วทางสถานีตำรวจจะมีกล้องวงจรปิดติดไว้ในห้องเพื่อทำการบันทึกภาพเหตุการณ์ แต่เป็นเพราะเจียงเจิ้งยี่ต้องการที่จะเล่นไม่ซื่อและคิดที่จะทำร้ายร่างกายเพื่อกดดันเย่เชียน เขาจึงสั่งให้ลูกน้องปิดกล้องนั้นเสีย ซึ่งทางฝ่ายของทนายและเย่เชียนเองก็สังเกตุเห็นเช่นกันว่ากล้องนั้นไม่ได้ทำงานอยู่ พวกเขาจึงไม่ลังเลที่จะทำเรื่องบ้าบิ่นเช่นนั้น
เจียงเจิ้งยี่เองก็รู้ดีเช่นกันว่าตัวเองได้ทำพลาดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้ว เขาจึงไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้อีกเพียงแต่ทำเสียงบางอย่างอยู่ในลำคอด้วยความโกรธ
เมื่อเห็นว่าเจียงเจิ้งยี่นิ่งไป หลู่หลงกวงก็พูดต่อไปว่า “ผู้อำนายการเจียง… ตอนนี้คุณคงรู้แล้วว่าต่อให้คุณพบสารเสพติดที่สโมสรของลูกความผม มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณนั้นไม่มีหลักฐานมายืนยันแบบนี้ ดังนั้นถ้าคุณยังคิดที่จะอยากให้เขาเป็นคนรับผิดชอบกับเรื่องนี้ คุณเองก็ต้องทำแบบเดียวกันด้วย… สำหรับเรื่องในวันนี้คุณไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะผงสีขาวนั่นน่ะ มันเป็นแค่แป้งเท่านั้น แต่ก็ไม่แน่นะ… คุณอาจจะมีสารเสพติดของจริงซุกซ่อนอยู่ที่ไหนซักแห่งในบ้านหรือออฟฟิศของคุณก็ได้ คุณว่าไงคุณผู้อำนวยการ ?”
เจียงเจิ้งยี่รู้สึเหมือนกับว่าตัวเองนั้นกำลังถูกทนายคนนี้คุกคามและข่มขู่เขาซึ่ง ๆ หน้า ซึ่งแม้ว่าเขาจะไม่พอใจมากก็ตาม แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ยิ่งการที่หลู่หลงกวงนั้นมีตำแหน่งเป็นถึงทนายความจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศด้วยแล้ว โอกาสที่เขาจะเอาชนะได้มันก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก
“แต่ถึงยังไงทางเราก็ยังคงต้องสอบสวนประธานเย่ไปตามขั้นตอนอยู่ดี” น้ำเสียงของเจียงเจิ้งยี่ในตอนนี้นั้นแทบจะไม่เหลือความหยิ่งยะโสปนอยู่อีกต่อไปแล้ว
“สอบสวน ?” หลู่หลงกวงถาม “แค่พามาสอบสวนแล้วทำไมถึงต้องใส่กุญแจมือด้วยล่ะ ? อีกอย่างถ้าเป็นแค่การสอบสวน ลูกความของผมก็มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธเข้ารับการสอบสวนตามกฎหมายปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนตามมาตราที่ 6 ถึง 11 นะ”
“ทนายหลู่… ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะครับ ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงต้องทำกับผมถึงขนาดนี้ด้วย ?” เย่เชียนแสร้งพูดเพื่อเติมเชื้อไปเข้าไปอีก “ตำรวจน่ะมีหน้าที่ต้องปกป้องคุ้มครองประชาชนไม่ใช่เหรอ ? แล้วทำไมเจ้าหน้าที่พวกนี้ถึงต้องการที่จะยัดเยียดข้อหาให้ผมล่ะ ?”
เมื่อหลู่หลงกวงมองไปที่เย่เชียน เขาก็เพิ่งจะสังเกตเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลอันน่ากลัวชัด ๆ
“ผู้อำนวยการเจียง! ไหนคุณบอกผมว่าคุณแค่ต้องการสอบปากคำลูกความผมไง ? แล้วทำไมคุณต้องถึงขั้นทำร้ายร่างกายของเขาด้วยล่ะ ? ลูกความของผมเป็นแค่ผู้ต้องสงสัยนะ ไม่ใช่นักโทษฆ่าคนตาย! คุณน่าจะรู้ว่าดีหนิว่าการกระทำแบบนี้มันผิดต่อข้อกฎหมายและทนายอย่างผมก็จะไม่มีวันยอมให้ลูกความต้องเจ็บตัวฟรี ๆ แน่” หลู่หลงกวงพูดอย่างโกรธเกรี้ยว จากนั้นเขาก็หันหน้าไปหาชายที่มาด้วยกัน “เสี่ยวหลี่! ไปถ่ายรูปคุณเย่เอาไว้เป็นหลักฐานซะ เก็บให้หมดทุกมุมทุกรายละเอียดเลยนะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างแข็งขันแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาถ่ายรูปเย่เชียนตามคำสั่ง ขณะเดียวกันเจียงเจิ้งยี่ก็ได้แต่ยืนอ้าปากค้างอยู่ตรงนั้น
“เดี๋ยวก่อน! ทางเราไม่ได้เป็นคนทำร้ายเขาซักหน่อย!” ในที่สุดเจียงเจิ้งยี่ก็ร้องขึ้นหลังจากที่เขาตั้งสติได้แล้ว
เจียงเจิ้งยี่ไม่ต้องการทำให้เรื่องมันอื้อฉาวไปมากกว่านี้ เพราะถ้าหากว่าทนายหลู่หลงกวงนำเรื่องขึ้นสู่ศาลกลางล่ะก็ มันจะทำให้เขานั้นเสื่อมเสียชื่อเสียงได้ภายในพริบตา ถึงแม้ว่าเขานั้นจะไม่ได้ทำผิดจริง ๆ ก็ตาม อีกทั้งตำแหน่งหน้าที่การงานของเขาก็อาจจะไม่มั่นคงอีกต่อไป
“ผู้อำนวยการเจียงพูดแบบนี้หมายความว่าไง ? ถ้าคุณไม่ได้ทำแล้วรอยแผลพวกนี้มันจะเกิดขึ้นได้ยังไงล่ะ ? พวกคุณมีหลักฐานอะไรมาชี้แจงมั้ย ?” หลู่หลงกวงถามจากนั้นก็หันไปหาเย่เชียน “คุณเย่… ถ้าคุณต้องการที่จะฟ้องร้องเรื่องนี้ ผมสามารถจัดการให้ได้นะ”
“ผมจะไม่ยอมเจ็บตัวฟรี ๆ หรอกคุณทนาย! แน่นอนว่าผมต้องการฟ้องร้องเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด เอาให้เขาไม่สามารถเป็นตำรวจต่อไปได้อีกเลย” เย่เชียนพูด
“ไม่มีปัญหาครับ!” หลู่หลงกวงตอบเย่เชียนแล้วหันไปหาชายที่มาด้วยกัน “เสี่ยวหลี่! คุณช่วยโทรไปหาสำนักงานทนายส่วนกลางให้ผมทีนะ แล้วบอกให้พวกเขาเริ่มดำเนินการเรื่องนี้ด่วนเลย”
“ครับผม!” ชายหนุ่มข้าง ๆ ตอบและรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา
“เอาล่ะผู้อำนวยการเจียง! ตอนนี้ผมสามารถประกันตัวลูกความของผมได้แล้วใช่มั้ย ?” หลู่หลงกวงถาม
“ไปทำตามขั้นตอนซะ!” เจียงเจิ้งยี่พูดอย่างหมดหนทางและไม่สบอารมณ์อย่างมาก เขาคิดว่าวันพรุ่งนี้หัวข้อข่าวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ สื่อโทรทัศน์หรือโลกอินเตอร์เน็ต จะต้องรายงานกันอย่างดุเดือดแน่ ๆ ว่าเขานั้นได้ใช้ความรุนแรงและทำร้ายร่างกายพลเมืองดีภายใต้อำนาจของเขา ซึ่งมันจะควบคู่ไปกับสถานะและตัวตนของเย่เชียนที่กำลังร้อนแรงและเป็นที่ชื่นชมของเมืองหนานจิง แล้วไหนจะตัวตนอันทรงพลังทางกฎหมายของหลู่หลงกวงอีกล่ะ แค่คิดมันก็ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก เพราะปัญหาในครั้งนี้ของเขามันจะต้องร้ายแรงมากอย่างแน่นอน
ทว่าเย่เชียนกลับส่ายหัวไปมาและพูดว่า “ไม่ดีกว่าครับทนายหลู่… ผมยังไม่ต้องการถูกประกันตัวออกไปในตอนนี้ ผมจะยังไม่ออกไปจากที่นี่หรอก!”
หลู่หลงกวงได้ฟังก็ผงะไปชั่วขณะ แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มออกมา เพราะจริง ๆ แล้วหลู่หลงกวงนั้นเคยติดต่อกับเย่เชียนมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว มันจึงทำให้เขารับรู้ได้ถึงอารมณ์และความคิดของเย่เชียนในสถานการณ์เช่นนี้เป็นอย่างดี และคนอย่างเย่เชียนนั้นจะไม่หยุดจนกว่าเขาจะเล่นงานเจียงเจิ้งยี่ให้ถึงที่สุดจนตกนรกทั้งเป็น เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วหลู่หลงกวงก็พูดขึ้นมาว่า “ผู้อำนวยการเจียง… ผมขอคุยกับลูกความของผมเป็นการส่วนตัวสักครู่จะได้มั้ย ?”
“เหอะ!” เจียงเจิ้งยี่ถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็พูดว่า “มาถึงขนาดนี้แล้ว อยากจะทำอะไรก็ทำเถอะ!”
พูดจบเจียงเจิ้งยี่ก็เดินออกจากห้องสอบสวนไปด้วยความโกรธเกรี้ยว…
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน