เย่เชียนก็พยักหน้าและหลังจากที่บริกรวางอาหารและเครื่องดื่มลงแล้วเย่เชียนก็ถามว่า “ใครอยู่ห้องข้างๆ? ..พวกเขาเสียงดังกันขนาดนี้คุณจะเพิกเฉยอย่างงั้นหรือ?”
บริกรก็รีบตอบว่า “ขอโทษค่ะ! ..เดี๋ยวฉันจะเปลี่ยนห้องให้คุณทั้งสามนะคะ..ทางเราต้องขอโทษที่ทำให้คุณขุ่นเคืองและมีปัญหากับมื้ออาหารของคุณค่ะ!”
เย่เชียนก็โบกมือและพูดว่า “ไม่เป็นไรๆ ..ออกไปเถอะ!”
“ขอบคุณค่ะ..ขออภัยในความไม่สะดวกด้วยค่ะ” บริกรพูดด้วยความเคารพและก้าวถอยหลังออกไป
หวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ลุกขึ้นยืนและพูดว่า “อาจารย์! ..เดี๋ยวผมจะไปสั่งสอนไอ้พวกนั้นเอง!”
“เฮ้ยๆ ..เดี๋ยวก่อน! ..ฉันยังไม่ได้กินอาหารที่สั่งมาเลย..มันน่าเสียดายฉันจ่ายเงินไปแล้วด้วย..เพราะงั้นฉันไม่อยากเสียเงินไปฟรีๆ!” เย่เชียนพูดต่อ “กินก่อนเถอะ..เดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลัง”
หลังจากกินและดื่มกันพอประมาณแล้วเย่เชียนก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและบิดขี้เกียจไปมา ซึ่งห้องถัดไปนั้นก็ยังคงมีเสียงดังอยู่นเคย ซึ่งในขณะนี้หวงฟู่เส้าเจี๋ยก็เดินไปที่ด้านข้างของห้องและก่อนที่เย่เชียนจะได้พูดอะไรใดๆ หวงฟู่เส้าเจี๋ยก็กระโดดเตะกำแพงห้องไปเสียแล้ว ซึ่งกำแพงไม้เหล่านี้จะทนต่อลูกเตะของหวงฟู่เส้าเจี๋ยที่รุนแรงได้อย่างไรเพราะมันได้ล้มลงไปในทันทีที่หวงฟู่เส้าเจี๋ยเตะ
“เฮ้ยไอ้บ้านี่..นายต้องไปจ่ายค่าเสียหายทีหลังด้วยนะเว้ย” เย่เชียนตกตะลึงไปชั่วขณะและพูดอย่างหมดหนทาง แต่เดิมนั้นเย่เชียนก็คิดว่าหวงฟู่เส้าเจี๋ยจะเข้าทางประตูแต่ทว่าใครจะรู้ล่ะว่าหวงฟู่เส้าเจี๋ยจะบุ่มบ่ามและบ้าบิ่นถึงขนาดนี้
หวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ฉีกยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไรๆ ..เดี๋ยวผมค่อยไปจ่ายทีหลัง”
มีคนอยู่ประมาณสิบคนที่นั่งอยู่ในห้องส่วนตัวข้างๆ โดยสวมชุดกิโมโนและรองเท้าเกี๊ยะจากไม้ ซึ่งการที่กำแพงไม้ถูกเตะเข้ามาอย่างกะทันหันเช่นนี้พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจและพวกเขาก็หันหน้าไปมอง และเมื่อพวกเขาได้ยินบทสนทนาของเย่เชียนกับหวงฟู่เส้าเจี๋ยแล้วจู่ๆ ผู้ชายหนึ่งในนั้นก็วิ่งตรงไปด้านหน้าของเย่เชียนและตะโกนว่า “ไอ้พวกลูกหมู..อยากตายเหรอวะ!”
“อาจารย์เขาพูดว่าอะไร?” หวงฟู่เส้าเจี๋ยหันหน้าไปถามเย่เชียน
“ไม่ต้องไปสนใจหรอก..เล่นมันให้ยับก็พอแล้ว” เย่เชียนก็เตะสวนชายคนนั้นไปทันทีที่เขาพูดจบและชายคนนั้นก็กระเด็นกลับไปในทันที ส่วนชิงเฟิงและหวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้นก็ไม่รีรอใดๆ ในฐานะสองสหายแห่งหายนะที่โหยหาความโกลาหลวุ่นวายของโลกและพร้อมที่จะแสดงความแข็งแกร่งของพวกเขาให้โลกได้ประจักษ์พวกเขาจึงรีบวิ่งเข้าไปหากลุ่มคนในห้องถัดไปในทันที
พวกเขาเหล่านั้นเป็นเพียงสมาชิกธรรมดาๆ ของกลุ่มยากูซ่ายามากุจิ และพวกเขาก็มักจะหยิ่งผยองและเกรี้ยวกราดเสมอเมื่อพวกเขาอยู่ภายใต้ชื่อแก๊งยามากุจิและในเมืองนี้ก็ไม่มีใครที่กล้าท้าทายพวกเขาเลย ซึ่งครั้งนี้ก็เหมือนกับการต่อสู้กับพวกนักเลงที่ชิงเฟิงและหวงฟู่เส้าเจี๋ยจะต้องเผชิญ
ภายในเวลาไม่นานชายหนุ่มของแก๊งยากูซ่ายามากุจิหลายสิบคนทั้งหมดก็นอนกองกันอยู่บนพื้น ซึ่งในขณะนี้เถ้าแก่ของร้านอาหารก็รีบวิ่งเข้ามาและถึงกับตกใจอย่างมากเมื่อเห็นฉากนี้เขาจึงรีบวิ่งไปหาเย่เชียนและพูดด้วยความเคารพว่า “ฉันขอโทษ..ฉันขอโทษจริงๆ ..ฉันไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้คุณลูกค้าต้องขุ่นเคืองถึงกับทำรุนแรงกันขนาดนี้?”
“มันไม่ใช่ธุระของคุณ..เพราะงั้นคุณไม่จำเป็นต้องสนใจ..แล้วถ้าหากว่าพวกยามากุจิมาที่นี่คุณก็พูดไปเลยว่าแก๊งฝูชิงของเราทำเรื่องพวกนี้เอง” เย่เชียนพูดอย่างง่ายๆ สบายๆ และถึงแม้ว่าชื่อเสียงของเขี้ยวหมาป่าจะโด่งดังอย่างมากก็ตาม แต่ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าแก๊งเจ้าพ่อมาเฟียฝูชิงในประเทศญี่ปุ่นนั้นมีรากเหง้าที่ดีและเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนอีกด้วยและมันก็ไม่เหมาะสมนักที่จะใช้ชื่อของเขี้ยวหมาป่า ดังนั้นเย่เชียนจึงถือวิสาสะเรียกตัวเองว่าคนของแก๊งฝูชิง เพราะถึงยังไงความขัดแย้งระหว่างแก๊งยามากุจิกับแก๊งฝูชิงก็ไม่ได้เพิ่งจะเกิดขึ้นในวันหรือสองวัน และยิ่งไปกว่านั้นเหล่าเด็กๆ ทั้งหลายภายใต้ทั้งสองแก๊งก็มักจะทะเลาะกันบ่อยๆ จึงเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
เถ้าแก่ของร้านอาหารก็ไม่กล้าพูดและไม่กล้าโทรหาตำรวจแต่อย่างใดเพราะเขารู้ดีว่าแก๊งฝูชิงนั้นเป็นอย่างไร และก็รู้ดีด้วยว่าความบาดหมางระหว่างแก๊งฝูงชิงกับแก๊งยามากุจินั้นเดือดดาลเช่นไร ดังนั้นเถ้าแก่จึงทำได้เพียงแค่อยู่เฉยๆ และสิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้ก็คือการหวังว่าเย่เชียนและคนอื่นๆ จะหยุดสร้างปัญหาไปมากกว่านี้และหยุดทำให้ร้านอาหารของเขาเสียหายไปมากกว่านี้
เย่เชียนก็เหลือบมองสมาชิกของแก๊งยามากุจิที่กำลังโอดครวญอยู่ที่พื้นและถามอย่างเดือดดาลว่า “ไหนพูดซิว่าเมื่อกี้ใครดูถูกคนจีน?”
ทุกคนถึงกับตัวสั่นไปหมดแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรใดๆ เย่เชียนจึงยิ้มอย่างเยือกเย็นและพูดว่า “ถ้างั้นต่อไปนี้ก็ไม่ต้องพูดเลยก็แล้วกัน..เส้าเจี๋ย! ..ตัดลิ้นของพวกมันซ่ะ..พวกมันจะได้ไม่พล่ามอะไรอีกในอนาคต”
คนหลายสิบคนก็ตัวสั่นเทาอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็รีบชี้ไปที่หนึ่งในนั้นและเริ่มพูดอย่างกระวนกระวาย หลังจากนั้นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเย่เชียนจากนั้นเย่เชียนก็มองไปที่ชายหนุ่มที่กำลังตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวและเขาก็แทบจะรอไม่ไหวแล้วที่จะส่งพวกนี้ไปทักทายบรรพบุรุษของพวกเขา ซึ่งท้ายที่สุดแล้วสถานที่แห่งนี้ก็ยังคงเป็นเขตแดนของแก๊งยามากุจิดังนั้นเย่เชียนจึงไม่ต้องการที่จะเสียเวลามากเกินไปเพราะมิฉะนั้นถ้าแก๊งยามากุจิกรูกันมาล่ะก็สิ่งต่างๆ ก็จะเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นเพราะโลกใต้ดินของประเทศญี่ปุ่นนั้นบ้าคลั่งและแหลกเหลวยิ่งกว่าในประเทศจีนเสียอีกเพราะพวกเขาล้วนเป็นองค์กรที่ได้รับการยอมรับและสนับสนุนจากรัฐบาลและแทบจะเป็นเรื่องปกติที่จะก่ออาชญากรรมบนท้องถนนเลย แต่โชคดีที่รัฐบาลญี่ปุ่นชุดล่าสุดดูเหมือนจะปราบปรามแก๊งยามากุจิดังนั้นตอนนี้แก๊งยามากุจิจึงไม่ค่อยเคลื่อนไหวอะไรกันมากนัก
“เอาฟันของมันออกมาจากปากให้หมดและให้ความเจ็บปวดมันลึกไปถึงสมองซะบ้าง..มันจะได้ไม่กล้าไปพูดที่ไหนอีก!” เย่เชียนพูดอย่างเยือกเย็น
หวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ฉีกยิ้มและเดินไปต่อยปากชายหนุ่มคนนั้นอย่างไร้ความปรานี ส่วนชิงเฟิงก็กวาดสายตาจ้องไปที่คนอื่นๆ อย่างเย็นชาเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาต่อต้านใดๆ ซึ่งภายใต้การจับตามองของชิงเฟิงนั้นคนเหล่านั้นจะกล้าเคลื่อนไหวได้อย่างไร? ชายหนุ่มคนนั้นก็เต็มไปด้วยน้ำตาและจมูกก็เต็มไปด้วยน้ำมูกซึ่งหลังจากการต่อยและตบจำนวนหลายๆ ครั้งปากของเขาก็เต็มไปด้วยเลือดและฟันของเขาก็หลุดออกมาทีละซี่และในชั่วอึดใจใบหน้าของเขาก็บวมเหมือนหัวหมูอย่างไงอย่างงั้น
เย่เชียนที่มองดูอยู่ก็เห็นว่าฟันมันหมดปากแล้วเขาจึงเรียกหวงฟู่เส้าเจี๋ย หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินกันออกไปอย่างสบายใจเฉิบ แต่ก่อนที่พวกเขาจะออกไปพวกเขาก็ถอดเสื้อผ้าของคนเหล่านั้นออกทั้งหมดและเงินทั้งหมดในตัวของพวกเขาก็ถูกยึดมาทั้งหมดและก่อนที่จะออกจากร้านอาหารเย่เชียนก็ยื่นเงินให้เถ้าแก่โดยตรงและพูดว่า “นี่คือค่าเสียหายของร้านอาหารของคุณ” หลังจากพูดจบเขาก็พาชิงเฟิงและหวงฟู่เส้าเจี๋ยออกไปเรียกรถแท็กซี่และนั่งตรงไปที่โรงแรม



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน