ตอนที่ 481 ความช่วยเหลือจากสหายต่างชาติ
คูลอฟส์อังเดรก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “มิสเตอร์เย่สบายใจได้..ผมจะดูแลเรื่องนี้ถ้าผู้นำถามผมล่ะก็ผมจะบอกว่าผมกำลังเพิ่มกำลังคนและรวบรวมข้อมูลและสร้างจุดยืนให้แน่ชัดแบบนี้..ผมเชื่อว่าพวกเขาจะไม่สงสัยเกินไป..สิ่งต่างๆ ในมูร์มัคส์จะวุ่นวายมากในช่วงนี้ผมต้องขอรบกวนคุณด้วย..ผมจะโทรไปหาอัสลานฮอร์ดมิลฟ์ให้เขาทำตามการเตรียมการสิ่งต่างๆ ให้คุณ”
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ได้เลย..มิสเตอร์คูลอฟส์อังเดรรอฟังข่าวดีจากผมได้เลย
“เหนื่อยหน่อยนะมิสเตอร์เย่” คูลอฟส์อังเดรพูดหยอกล้อเพราะเขาแค่คิดว่ามันสะดวกสบายมากที่จะทำทุกอย่างในตอนนี้กับเย่เชียนซึ่งเป็นพันธมิตรและสหายที่ทรงพลังและดูเหมือนว่าเขาจะมองว่าตัวเองเป็นผู้นำของตระกูลและองค์กรคูลอฟส์ในอนาคตแล้ว
“อัสลานฮอร์ดมิลฟ์ยินดีให้ความร่วมมือแล้ว..เขาเป็นลูกน้องที่จริงใจที่สุดที่เคยติดตามผมมา..หากมีอะไรที่ทำให้มิสเตอร์เย่ขุ่นเคืองผมก็หวังว่ามิสเตอร์เย่จะให้อภัย” คูลอฟส์อังเดรหยุดไปชั่วขณะและพูด
“มิสเตอร์อัสลานฮอร์ดมิลฟ์เป็นคนที่มีพรสวรรค์และผมก็เชื่อว่าด้วยความร่วมมือของผมกับเขาแล้วเมืองมูร์มันสค์จะกลายเป็นของคุณและในไม่ช้ามิสเตอร์คูลอฟส์อังเดรจะกลายเป็นผู้นำของมาเฟียคูลอฟส์ทั้งหมด” คพำพูดของเย่เชียนช่างประจบประแจงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งคูลอฟส์อังเดรก็มีความสุขมากและเขาเพียงแค่คิดว่าการร่วมมือกับเย่เชียนนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของเขาเลย
“ถ้าวันหนึ่งผมได้รับตำแหน่งผู้นำของตระกูลคูลอฟส์แล้วจริงๆ ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะมิสเตอร์เย่เลยเพราะงั้นผมคูลอฟส์อังเดรคนนี้จะไม่มีวันลืมความมีน้ำใจอันยิ่งใหญ่ของมิสเตอร์อย่างแน่นอน..ดังนั้นตราบใดที่มิสเตอร์เย่ต้องการเงินหรือใครสักคนล่ะก็อย่าลังเลที่จะพูดออกมา..เพราะเราคือสหาย” คูลอฟส์อังเดรพูด
ในขณะที่พูดเขาเปลี่ยนสรรพนามการเรียกโดยไม่รู้ตัวและนี่คือการมองเย่เชียนในจิตใต้สำนึกและแสดงให้เห็นถึงอนาคตที่ไม่มีที่สิ้นสุดของเย่เชียนในฐานะพันธมิตร
เย่เชียนก็ยิ้มและพูดว่า “ผมหวังว่ามิสเตอร์คูลอฟส์อังเดรจะจำคำพูดของคุณวันนี้เอาไว้และผมก็หวังว่าความร่วมมือของเราจะเป็นไปได้ด้วยดี!”
“แน่นอนแน่นอน!” คูลอฟส์อังเดรพูดอย่างรีบร้อน
หลังจากพูดคุยกันอีกสองสามครั้งเขาก็วางสายโทรศัพท์ไปซึ่งคูลอฟส์อังเดรมีความสุขมากและพูดกับคนขับว่า “โทรไปหาพี่ชายของผม..ผมจะจัดงานเลี้ยงคืนนี้ที่ภัตตาคาร!”
คนขับก็ถึงกับตกตะลึงและรีบตอบตกลงเพราะผ่านมาเจ็ดถึงแปดปีแล้วที่เขาไม่เคยเห็นคูลอฟส์อังเดรยิ้มแบบนี้และถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เขาก็เดาได้ว่าในการประชุมตระกูลคูลอฟส์ในวันนี้ผู้นำของตระกูลคงจะต้องยกย่องคูลอฟส์อังเดรอย่างแน่นอนแต่เขาก็เดาไม่ออกเลยว่ามิสเตอร์เย่ที่คูลอฟส์อังเดรพูดถึงคือใครกันแน่เพราะคูลอฟส์อังเดรพูดกับคนคนนั้นทางโทรศัพท์ราวกับว่าทุกคนต้องปฏิบัติต่อเขาคนนั้นอย่างสุภาพและเคารพ อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะเข้าไปขัดจังหวะได้เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเป็นตัวขับเคลื่อนของคนเหล่านี้คือการรู้จักรักษาน้ำเสียงและการวางตัวและอย่าถามในสิ่งที่ไม่ควรถามเพื่อความอยยู่รอด
เมื่อเห็นเย่เชียนวางสายโทรศัพท์ไปหลินเฟิงก็ยิ้มและพูดว่า “อะไรกันพ่อหนุ่มคนนั้นเก็บอาการไม่อยู่เลยหรอ?”
เย่เชียนก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ก็นะเพราะว่าคูลอฟส์อังเดรถูกผู้นำของตระกูลเพิกเฉยมานานหลายปีแล้ว..และตอนนี้เขาก็กลับมาน่าสนใจอย่างกะทันหันมันก็ต้องทำให้เขากระตือรือร้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว”
“นายจะเริ่มเมื่อไหร่? ..นายต้องการความช่วยเหลือจากฉันหรือเปล่า?” หลินเฟิงถาม
“ไม่ๆ ..เพราะนี่เป็นเรื่องของตระกูลคูลอฟส์มันไม่ต้องถึงมือพี่หรอกและมันก็ไม่คุ้มเสียถ้าจะใช้คนของเรา..ตระกูลคูลอฟส์นั้นกว้างขวางมากและเราก็แค่ต้องจัดเตรียมแผนและสั่งการแล้วปล่อยให้พวกเขาดูแลงานเหล่านั้นด้วยตัวเองแค่นั้น” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
เย่เชียนก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้นเพราะการใช้เขี้ยวหมาป่าและนักฆ่าจากองค์กรเซเว่นคิลเพื่อช่วยเหล่ามาเฟียต่อสู้มันจะเป็นข้อเสียอย่างยิ่งและนอกจากนี้สิ่งสุดท้ายที่จระกูลคูลอฟส์ขาดคืออะไร? นั่นคือคนบุคลากรที่อาจจะพิ่มขึ้นอย่างน้อยๆ 50,000 หรือ 60,000 คนและมันง่ายมากที่จะเพิ่มขึ้น..แต่เขี้ยวหมาป่าและเซเว่นคิลนั้นแตกต่างกันเพราะพวกเรามีบุคลากรที่น้อยมากมัยจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสูญเสียพวกเขาเพราะหากเสียคนของเราหนึ่งตนก็เท่ากับการสูญเสียมาเฟียหลายร้อยคน”
ในขณะที่พูดเย่เชียนก็ใช้คำว่า ‘เรา’ โดยไม่รู้ตัวดูเหมือนว่าเขาได้ถือว่าองค์กรเซเว่นคิลเป็นของเขาอย่างไงอย่างงั้นซึ่งหลินเฟิงเองก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรเขาเพียงยิ้มและพูดว่า “ฉันเคยคิดว่าฉันเป็นคนที่ขี้เหนียวแล้วนะแต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่านายเนี่ยขี้เหนียวกว่าฉันอีก”
“พี่กำลังชมผมอยู่หรือเปล่า? ” เย่เชียนฉีกยิ้มและพูด
“แน่นอนว่าคนใจแคบสามารถสร้างโชคได้เพราะผมรู้สึกว่าผมได้รับความทุกข์ทรมานมามากจากการทำธุรกิจกับน้องเย่” หลินเฟิงพูดด้วยท่าทางที่จริงจัง
อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็รู้ดีว่าหลินเฟิงแค่พูดเรื่องตลกเพราะถ้าหากหลินเฟิงสนใจเรื่องนี้เขาจะไปตกลงร่วมมือกับหลินเฟิงได้อย่างไร ท้ายที่สุดความสัมพันธ์ระหว่างเย่เชียนและหลินเฟิงก็ไม่ได้เป็นเพียงความสัมพันธ์แบบร่วมมือกันอีกต่อไป แต่เป็นพันธมิตรแห่งชีวิตและความตายภายใต้พันธนาการแห่งภราดรภาพ
“มันเป็นโอกาส..แล้วผมไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ต่างๆ ได้หรอ” เย่เชียนยิ้มและพูด


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน