ตอนที่ 507 สิ่งที่ทำให้อยากกลับบ้าน
สำหรับความไร้ยางอายของเย่เชียนนั้นหลินโรวโร่วก็เคยชินกับมันมานานแล้วแต่การกระทำเช่นนี้สำหรับคนนอกนั้นมันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก ซึ่งถึงแม้ว่าหลินโรวโร่วจะค่อนข้างขี้อายแต่เธอก็มีความสุขและหลังจากยิ้มเขินๆ หลินโรวโร่วก็พูดว่า “ถ้างั้นคืนนี้คุณต้องเหนื่อยหน่อยนะ”
หลินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเย่เชียนแล้วหัวเราะ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้คาดหวังว่าหลินโรวโร่วจะพูดเช่นนี้ แต่ในสายตาของเย่เชียนนั้นหลินโรวโร่วมักจะดูเหมือนเด็กผู้หญิงที่น่ารักอยู่เสมอ แต่ทว่าตอนนี้เขาเองก็แปลกใจที่หลินโรวโร่วดูเหมือนสาวน้อยที่เร่าร้อน
“บอสคุยกับน้องสะใภ้ไปนะ..ฉันขอตัวก่อน” ม่อหลงพูด
เย่เชียนนั้นรู้ได้โดยธรรมชาติว่าม่อหลงกำลังจะทำอะไรจากนั้นเขาก็พูดว่า “ไม่ต้องกังวล..เราไปกินข้าวด้วยกันก่อนเถอะแล้วผมจะโทรหาหวงฟู่ชิงเตี๋ยนและนัดพบกับเขาแล้วค่อยว่ากัน..ไม่งั้นการที่จะเจอเขาได้นี่มันยากมาก”
“คุณเพิ่งจะกลับมานะ..เกิดอะไรขึ้นหรอ? “หลินโรวโร่วถาม
“อ๋อไม่มีอะไรหรอก..ผมสัญญาว่าคืนนี้ฉันจะกลับไป” เย่เชียนพูด จากนั้นเขาก็มองไปที่ม่อหลงที่ยังคงกังวลอยู่เล็กน้อยและตบไหล่เขาเบาๆ แล้วพูดว่า “เอาน่าๆ ..พี่ยังไม่ได้ชิมรสมือของน้องสะใภ้ของพี่เลย..วันนี้มีแต่อาหารดีๆ ทั้งนั้น”
“ใช่! ..พี่ม่อหลงก็ไปด้วยกันเถอะ..ไม่ว่าจะมีเรื่องด่วนแค่ไหนมันก็ไม่สามารถทำให้ฉันหยุดกินได้” หลินโรวโร่วพูอย่างขี้เล่น
หลินโรวโร่วนั้นกล้าพูดได้อย่างไรว่าเธอเป็นน้องสะใภ้เพราะเธอไม่ได้ยืนยันความสัมพันธ์ของเธอกับเย่เชียนอย่างเป็นทางการ แต่ผู้คนในเขี้ยวหมาป่าก็ยังให้ความเคารพเธอมากและนี่ก็เป็นคำเชิญครั้งแรกของหลินโรวโร่วอีกด้วยดังนั้นม่อหลงก็ไม่สามารถหักหน้าเธอได้เลย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเขาก็พยักหน้าตอบเบาๆ
สมาชิกของเขี้ยวหมาป่านั้นมักจะปฏิบัติต่อญาติของพี่น้องของพวกเขาด้วยความเคารพอย่างสูงและเขี้ยวหมาป่าไม่เพียงแค่เคารพครอบครัวของเย่เชียนเท่านั้นแต่เย่เชียนเองก็เคารพสมาชิกในครอบครัวของพี่น้องคนอื่นๆ ด้วย เพราะท้ายที่สุดแล้วองค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่านั้นก็เป็นเหมือนครอบครัวใหญ่และในบางครั้งถึงจะมีความขัดแย้งกันบ้างแต่พวกเขาก็สามารถสนับสนุนซึ่งกันและกันและช่วยเหลือกันและสามัคคักันอย่างมั่นคง
เหล่าสมาชิกเขี้ยวหมาป่านั้นก็มีความชัดเจนมากเกี่ยวกับนิสัยของเย่เชียนเพราะเย่เชียนนั้นไม่ใช่คนกลับกลอกและไม่ใช่คนที่มั่วสุมกับใครเพราะไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถอยู่ในเขี้ยวหมาป่ามานานหลายปีทั้งๆ ที่ยังไม่มีแฟนเลยแม้แต่คนเดียว ซึ่งซ่งหลันที่ใกล้ชิดกับเย่เชียนมากที่สุดยังถูกเย่เชียนหลบเลี่ยงเลย แน่นอนว่าหลินโรวโร่วที่มีสถานะเป็นคนรักของเย่เชียนอย่างเปิดเผยเช่นนี้สมาชิกของเขี้ยวหมาป่าก็จะเคารพเธอเป็นอย่างมากและถือว่าเธอเป็นสะใภ้ในอนาคตของพวกเขา
“ฉันโทรไปบอกพี่สาวหลันแล้ว..ตอนนี้เธอน่าจะกำลังกลับไปที่บ้านน่ะ” หลินโรวโร่วพูด
“เอ่อ..” เย่เชียนพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็พูดว่า “แล้วกองทุนล่ะมีปัญหาอะไรบ้างหรือเปล่า? ”
“โครงการมูลนิธิกองทุนแห่งอนาคตของเราราบรื่นมาก..และตอนนี้พื้นที่ภูเขาห่างไกลหลายแห่งก็มีวิทยาเขตการศึกษาที่เราสร้างไว้แล้วและเรายังมีแผนพัฒนาการบริการที่ครบครันซึ่งตอนนี้เหลือแค่ไม่มีขั้นตอนเอง” หลินโรวโร่วพูดอย่างมีความสุขโดยนึกถึงเด็กๆ ที่มาจากครอบครัวยากจนที่สามารถมีโอกาสในการเรียนการเขียนการอ่าน ซึ่งเธอนั้นเป็นผู้หญิงที่ใจดีอยู่เสมอ
“ถึงแม้ว่าเรื่องเงินทุนจะสำคัญแต่คุณก็ไม่ควรที่จะเหนื่อยเกินไป..ไม่งั้นผมจะรู้สึกเป็นทุกข์..นอกจากนี้มันก็เป็นเรื่องไม่ดีสำหรับการมีทารกถ้าคุณเหนื่อยล้าเกินไป” เย่เชียนพูด
เย่เชียนทำให้หลินโรวโร่วตกตะลึงจนเธอถามว่า “คุณไม่ได้ป่วยใช่ไหม..ทำไมจู่ๆ คุณถึงพูดเรื่องการมีลูก”
“คุณไม่อยากหรอ..ผมอยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไงเมื่อมีคนเรียกผมว่าพ่อ” เย่เชียนพูด
“พวกเรายังไม่ได้แต่งงานกันเลย..เพราะงั้นอย่าคิดเลยว่าฉันจะยอมให้กำเนิดลูกของคุณ” หลินโรวโร่วทำปากมุ่ยและพูด
“มันง่ายมาก..เมื่อไหร่ที่ผมมีเวลาเราจะจัดงานแต่งงานกันเลยและบอกให้ทุกคนในประเทศจีนรู้ว่าหลินโรวโร่วเป็นภรรยาของเย่เชียนคนนี้” เย่เชียนยิ้มอย่างมีความสุขและพูด
หลินโรวโร่วไม่ใช่ผู้หญิงที่มุ่งเน้นอาชีพการงานเพราะสิ่งที่เธอหวังไม่ใช่ว่าจะมีพัฒนาการในหน้าที่การงานได้ดีแค่ไหนแต่ชีวิตที่เธอชอบก็คือชีวิตแบบครอบครัวและการมีสามีกับลูก เธอหวังให้เย่เชียนช่วยกำเนิดลูกสักสองสามคนจากนั้นก็ช่วยเสิร์ฟซุปให้เย่เชียนหนึ่งชามเมื่อเย่เชียนกลับบ้านและบีบนวดไหล่ให้เขา ซึ่งหลินโรวโร่วนั้นจึงคิดเรื่องแต่งงานมานานแล้ว อย่างไรก็ตามเธอก็รู้ด้วยว่าเย่เชียนยุ่งมากและมีหลายอย่างที่ต้องจัดการ ดังนั้นเธอจึงไม่เคยคิดริเริ่มที่จะพูดถึงเรื่องนี้เลยสักครั้ง
ซึ่งครั้งนี้เย่เชียนก็ได้ริเริ่มเสนอแนวคิดดังกล่าวซึ่งทำให้หลินโรวโร่วมีความสุขมากและเมื่อมองไปที่เย่เชียนด้วยความรักหลินโรวโร่วก็โน้มศีรษะของเธอเอาไว้บนไหล่ของเย่เชียน
หลังจากออกจากสนามบินแล้วทั้งสามคนก็ขับรถมุ่งหน้ากลับบ้านและระหว่างทางเย่เชียนก็โทรไปหาหวงฟู่ชิงเตี๋ยนและนัดพบเขาที่สโมสรเจิดจรัสและถึงแม้ว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนจะแปลกใจว่าทำไมเย่เชียนจึงต้องการพบตัวเองเป็นการส่วนตัวอย่างเร่งด่วนทันทีที่เย่เชียนกลับมาที่ประเทศจีนก็ตามแต่เขาก็ตอบตกลงโดยทันที
ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศรัสเซียนั้นไม่สามารถซ่อนจากหวงฟู่ชิงเตี๋ยนที่เป็นถึงผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติได้และถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดมากพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าทุกอย่างถูกดำเนินโดยเย่เชียนก็ตามแต่เขาก็รู้ดีโดยอาศัยความเข้าใจและความคุ้นเคยกับเย่เชียน
ครั้งสุดท้ายที่เซอร์เก้วิชพุชกินได้รับการช่วยเหลือในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนนั้นหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็ปวดหัวกับเรื่องนี้มากและหลังจากนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศรัสเซียครั้งนี้ความคิดแรกขอหวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นคือเย่เชียนได้ช่วยเหลือเซอร์เก้วิชพุชกินหลบหนีไป ดังนั้นหวงฟู่ชิงเตี๋ยนจึงต้องการถามเย่เชียนให้ชัดเจนว่าเย่เชียนกำลังเล่นอะไรอยู่และทำไมถึงต้องการช่วยเซอร์เก้วิชพุชกิน
เย่เชียนก็หันกลับไปและพยักหน้าให้กับม่อหลงและบอกกับม่อหลงเกี่ยวกับการนัดหมายกับหวงฟู่ชิงเตี๋ยน ซึ่งม่อหลงก็ตอบอย่างโล่งใจจากนั้นก็เงียบไป ซึ่งหลินโรวโร่วก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อยเกี่ยวกับนิสัยของม่อหลงเมื่อเธอเห็นคิ้วที่ขมวดกันของม่อหลงผ่านกระจกมองหลังและดูเหมือนเขาอยากจะถามเย่เชียน
เย่เชียนก็ยิ้มให้หลินโรวโร่วเบาๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะเขาชัดเจนมากเกี่ยวกับนิสัยของม่อหลง ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับม่อจื๊อและการตายของครอบครัวม่อหลงนั้นก็จะสามารถกระจ่างแจ้งได้โดยการถามหวงฟู่ชิงเตี๋ยน ดังนั้นอารมณ์ของม่อหลงจึงกระวนกระวายและประหม่าอย่างไม่ต้องสงสัย

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน