เมื่อเย่เชียนกลับไปที่งานศพเขาก็เห็นว่าจ้าวกังยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าร่างของชายชราและพึมพำอะไรบางอย่างอยู่ จ้าวกังนั้นเป็นเด็กกำพร้าคนแรกที่พ่อรับเลี้ยงและเป็นลูกคนแรกที่รู้สึกถึงความอบอุ่นและความห่วงใยจากชายชรา ซึ่งในหัวใจของจ้าวกังนั้นชายชราอยู่เหนือกว่าพ่อแม่ทางสายเลือดของเขาอย่างหาที่เปรียบมิได้
ว่ากันว่าเด็กจากครอบครัวที่ยากจนมักจะทำอะไรอย่างตั้งใจเสมอเพราะผลงานทางการศึกษาของจ้าวกังในโรงเรียนนั้นยอดเยี่ยมมาโดยตลอดแต่เขาก็รู้ดีว่าภาระของชายชรานั้นหนักหน่วงมาก ดังนั้นหลังจากสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นแล้วเขาจึงหยุดเรียนและเข้าร่วมกองทัพซึ่งในเวลานั้นเย่เชียนอายุเพียงสิบสามปีและหลังจากนั้นสามปีเย่เชียนก็ออกจากบ้านไปอย่างโดดเดี่ยว
หลังจากเข้าร่วมกับกองทัพแห่งชาติแล้วเนื่องจากจ้าวกังเต็มใจที่จะศึกษาและมีความรู้ด้านการทหารที่ยอดเยี่ยมดังนั้นเขาจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ฝึกสอนเกี่ยวกับปฏิบัติการกู้ภัยและบรรเทาภัยพิบัติอย่างทรงเกียรติ หลังจากนั้นเป็นต้นมาจ้าวกังก็เติบโตและไต่เต้าตำแหน่งทางทหารจากพลทหารเป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษสู่ผู้บัญชาการกองร้อยพิเศษเหมือนในทุกวันนี้ แน่นอนว่าเขาเกือบจะอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีให้กับกองทัพและจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้แต่งงานหรือมีภรรยาและมีลูกเลยเพราะหลายปีมานี้นอกจากโทรคุยกับชายชราและส่งเงินกลับไปนั้นเขาก็ไม่มีเวลาแม้แต่จะกลับบ้านไปหาชายชราเลย
เมื่อไม่กี่วันก่อนจ้าวกังได้รับสายโทรศัพท์จากหลี่ฮ่าวว่าชายชราป่วยหนักแต่เขากำลังปฏิบัติภารกิจที่สำคัญอยู่ ซึ่งเมื่อเผชิญกับปัญหาส่วนตัวและเกียรติยศส่วนรวมนั้นจ้าวกังจึงลำบากใจและยากที่จะเลือกแต่ท้ายที่สุดเขาก็เลือกที่จะขอลากิจโดยหวังว่าจะกลับบ้านไปหาชายชราเป็นครั้งสุดท้ายแต่คำปฏิเสธของผู้บังคับบัญชากลับทำให้เขาสูญเสียความคิดและหตุผลก็ไม่มีอะไรมากไปกว่างานที่สำคัญมากกับเกียรติยศทางทหารที่ควรจะระงับอารมณ์และเรื่องส่วนตัวเอาไว้ชั่วคราวและเขาก็ต้องยอมรับมัน
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาได้รับข่าวการเสียชีวิตของชายชราผู้เป็นเหมือนพ่อคนที่สองของเขานั้นจ้าวกังจึงไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไปและเขาก็อดไม่ได้ที่จะกลับไปหาพ่อของเขาไม่เช่นนั้นเขาคงจะเสียใจไปตลอดกาล ระหว่างเกียรติยศกับพ่อของเขานั้นเขาก็เลือกพ่อมากกว่าเพราะถ้าหากความสำเร็จมาพร้อมกับความสูญเสียเช่นนี้จ้าวกังก็ไม่อยากที่จะประสบความสำเร็จไปแบบนั้นเพราะต่อให้เขาทำสำเร็จถึงยังไงเขาก็ต้องเสียใจไปตลอดชีวิตและโศกเศร้าไปชั่วชีวิตที่เขาพลาดสิ่งที่สำคัญที่สุดไป
“ผมขอโทษ! ” เย่เชียนเดินไปหาจ้าวกังและพูดว่า “ตอนนั้นผมอารมณ์ไม่ค่อยดี..ผมขอโทษ! ”
“นายพูดถูกแล้วฉันมันเป็นไอ้สารเลว..หลายปีที่ผ่านมาฉันไม่เพียงแค่ล้มเหลวในการดูแลพ่อให้ดีแต่ฉันยังไม่สามารถแม้แต่จะมาส่งพ่อไปสู่สวรรค์เลย..ฉันปล่อยให้พ่อจากไปด้วยความเสียใจ!” จ้าวกังพูดอย่างสะอึกสะอื้น
“ผมเองก็เหมือนกัน..ผมจากบ้านไปตั้งหลายปีแต่เมื่อผมกลับมาผมกลับทิ้งเขาเอาไว้ตามลำพังมาโดยตลอด..แต่ก็นะพ่อของพวกเราจากไปอย่างสงบแล้ว..เพราะงั้นเขาไม่มีความเจ็บปวดหรือความเสียใจอะไรใดๆ เลย” เย่เชียนพูด
หลังจากหยุดไปสักพักเย่เชียนก็พูดต่อ “พี่แอบหนีกลับมาอย่างลับๆ ใช่มั้ย? ..พี่เป็นคนบอกเองว่าผู้บังคับบัญชาไม่อนุมัติการลากิจไม่ใช่เหรอ..แบบนี้พี่จะไม่เสียใจในภายหลังรึไง”
“เสียใจสิ! ..ฉันเสียใจที่มาสายเกินไป..ฉันเสียใจที่ฉันไม่เด็ดขาดพอ..ไม่งั้นฉันคงจะได้อยู่กับพ่อจนถึงวาระสุดท้ายของพ่อแล้ว” จ้าวกังพูด
“พี่หนีออกมาแบบนี้แล้วกรมทหารจะลงโทษพี่แบบไหน” เย่เชียนถาม
จ้าวกังก็พูดด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่นว่า “แน่นอนสิเพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากและฉันก็จะถูกส่งตัวไปยังศาลทหาร..และฉันจะไม่มีโอกาสที่จะได้เลื่อนยศเลื่อนขั้นและอาจจะถูกถอดถอนและปลดประจำการเลยด้วยซ้ำ..แต่ก็นะฉันไม่เป็นอะไรหรอกเพราะหลังจากที่ฉันได้ส่งพ่อขึ้นไปบนสวรรค์แล้วฉันจะกลับไปรับโทษ”
เย่เชียนก็พยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “พวกเราทุกคนเป็นพี่น้องกันและพ่อก็บอกผมเอาไว้ก่อนที่พ่อจะเสียไปว่าหากพี่น้องมีปัญหาอะไรก็ต้องช่วยกัน..เพราะงั้นผมจะช่วยพี่จัดการเรื่องนี้เอง..อย่าปิดบังผมอย่าเกรงใจผมถ้าพี่มีปัญหาอะไรก็พูดออกมาได้เลย”
“อืม!” จ้าวหังพยักหน้าแล้วพูดว่า “ขอบใจนะ! ..แต่นายช่วยฉันเรื่องนี้ไม่ได้หรอก..ฉันเข้าใจความหวังดีของนาย..ว่าแต่ฉันได้ยินมาจากน้องสามว่าตอนนี้นายได้เริ่มก่อตั้งบริษัทของตัวเองแล้ว..เป็นยังไงบ้างล่ะธุรกิจของบริษัทดีมั้ย”
เย่เชียนช่วยพยุงจ้างกังขึ้นมาและพูดว่า “ก็ดีนะ..แต่ตอนนี้การทำธุรกิจมันไม่ง่ายขนาดนั้นน่ะสิ..มันวุ่นวายนิดหน่อย”
อาจเป็นเพราะจ้าวกังนั่งคุกเข่านานเกินไปจึงทำให้ขาของจ้าวกังเจ็บและชาเพราะเมื่อเขายืนขึ้นเขาก็เกือบจะล้มลงแต่โชคดีที่เย่เชียนมีสายตาที่ว่องไวและมือไวเขาจึงประคองจ้าวกังเอาไว้ทัน เมื่อเห็นเช่นนั้นจ้าวกังก็พูดว่า “ไม่ว่านายจะทำอะไรนายต้องปฏิบัติตามกฎของบ้านเมืองนะรู้มั้ย? ..นายน่ะตอนเด็กๆ มักจะซนและหัวดื้อเสมอเมื่อ..นายน่ะฉลาดเกินไปฉันก็เลยกลัวว่านายจะทำอะไรผิดพลาดไปน่ะสิ”
เย่เชียนก็ยิ้มเและพูดว่า “ผมรู้ตัวดีน่ะ..แต่ดูพี่ตอนนี้สิ..ดูเหมือนว่าพี่จะลำบากกว่าผมอีกนะฮ่าๆ”
จ้าวกังยิ้มอย่างขมขื่นโดยไม่พูดอะไรใดๆ
“ไปกันเถอะ..คืนนี้พี่มานอนที่บ้านของผมนะแล้วพรุ่งนี้ศพของพ่อจะถูกเผาแล้วจากนั้นเราก็จะส่งพ่อขึ้นไปบนสวรรค์กัน” เย่เชียนพูด
“ไม่! ..ฉันอยากใช้เวลาอยู่กับพ่อมากกว่านี้..ฉันไม่ได้เจอพ่อมาตั้งหลายปีแล้ว” จ้าวกังพูด
เย่เชียนส่ายหัวเบาๆ และไม่โน้มน้าวเขาอีกเพราะถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ได้เจอจ้าวกังมานานกว่าสิบปีแล้วแต่อารมณ์และนิสัยของจ้าวกังก็ไม่เปลี่ยนไปเลยและยังไม่ยอมฟังใครเหมือนเคย ดังนั้นเย่เชียนจึงรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะโน้มน้าวเขาและนอกจากนี้นี่ยังเป็นวิธีเดียวที่จะสามารถทำให้จ้าวกังหมดกังวลและสบายใจขึ้น ไม่เช่นนั้นหากเย่เชียนเข้าไปแทรกแซงมากเกินไปล่ะก็จ้างกังก็จะมีแต่ความโศกเศร้ามากขึ้นเท่านั้น “อืม..ถ้างั้นผมขอตัวกลับก่อนนะ..ตอนกลางคืนอากาศค่อนข้างหนาวเพราะงั้นอย่าลืมสวมเสื้อผ้าหนาๆ ล่ะ..อีกอย่างที่นี่เป็นงานศพตอนกลางคืนก็ระวังตัวด้วยล่ะ” เย่เชียนฉีกยิ้มแล้วถอดเสื้อคลุมของเขาออกและคลุมเอาไว้บนร่างของจ้าวกังแล้วพูด
จ้าวกังก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนแล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วงฉันน่ะเป็นคนดีเพราะงั้นมันไม่มีอะไรที่สามารถเข้าใกล้ฉันได้หรอก..ขอบใจนะ”

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน