ตอนที่ 759 การประลองรอบคัดเลือก
อารมณ์แบบนี้ทำให้เย่เชียนกลัวและเขากลัวว่าเขาจะต้องติดอยู่ในนั้นและไม่สามารถปลอดปล่อยตัวเองได้เลย เขากลัวว่าเขาจะต้องพึ่งพาความรู้สึกนี้มากเกินไปเพราะถ้าหากเป็นเช่นนี้เขาจะเผชิญกับอุปสรรคและขวากหนามในอนาคตอย่างไร? เขายังคงสามารถต่อสู้โดยมีชีวิตและความตายเป็นเดิมพันเช่นเคยได้หรือไม่? หากใครที่ไม่สามารถปลดปล่อยตัวเองจากบางสิ่งได้พวกเขาก็อาจจะมีจุดจบด้วยความตายได้ง่ายขึ้นโดยเฉพาะในกรณีที่ลืมความกลัวตายเขาก็จะไม่สามารถมีชีวิตที่ยืนยาวได้อีกต่อไป
ที่หน้าประตูทางเข้าของศาลากลางน้ำเย่เชียนก็หยุดฝีเท้าและสูดลมหายใจเข้าลึกๆจากนั้นก็หันหลังและเดินจากไป แน่นอนว่าภายในศาลากลางน้ำนั้นถังซูหยานก็เห็นเย่เชียนเช่นกันและเห็นความลังเลใจของเย่เชียนอย่างชัดเจน แต่เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเกี่ยวกับการกระทำของเย่เชียนดีและเธอทำได้เพียงถอนหายใจเล็กน้อยแต่เธอก็รู้สึกอึดอัดมากในใจเพราะในตอนนี้เธอเองก็ปรารถนาให้เย่เชียนเข้ามาหาเธอเช่นกันแต่เนื่องจากเย่เชียนไม่ได้เข้ามาเธอก็ทำอะไรไม่ได้ ซึ่งการที่เย่เชียนนั้นรู้ว่าเธอนั้นไม่ได้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดและยังมาที่นี่เพื่อคิดที่จะมาหาเธอเช่นนี้เธอก็มีความสุขอย่างมาก
ไม่รู้ว่าทำไมเพราะตั้งแต่พบเย่เชียนเมื่อคืนความปรารถนาและความคิดถึงลูกชายก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆและความโหยหาลูกชายของเธอก็ไม่สามารถยับยั้งได้ ถ้าหากลูกชายของเธอยังไม่ตายไปเขาก็ควรจะอายุเท่าๆกับเย่เชียน ดังนั้นเธอจึงอดคิดไม่ได้ว่ามันคงจะดีมากถ้าหากเย่เชียนเป็นลูกชายของเธอเอง อย่างไรก็ตามเธอก็รู้ดีว่าสิ่งนี้เป็นไปไม่ได้เพราะไม่ว่าเธอจะสนิทกับเย่เชียนมากแค่ไหนแต่เย่เชียนก็ไม่ใช่ลูกชายแท้ๆของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องราวระหว่างเธอกับอันซือนั้นก็ยิ่งทำให้มันเป็นไปไม่ได้เลยเพราะด้วยบุคลิกและทัศนคติของอันซือแล้วเธอเชื่อว่าเย่เชียนจะไม่มีวันได้รับอนุญาตให้อยู่กับเธออย่างใกล้ชิด เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ถังซูหยานก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างลับๆ
เมื่อเห็นการแสดงออกของถังซูหยานแล้วเสี่ยวฉุยก็ถอนหายใจอย่างลับๆและพูดว่า “คุณหญิงรองฉันไม่เข้าใจจริงๆทำไมคุณถึงช่วยพวกเขาขนาดนี้ล่ะ..เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าพวกเขาจะทำอะไรกับเราในอนาคตบ้างเพราะงั้นทำไมเราต้องกังวลด้วย”
ถังซูหยานก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติต่อฉันยังไงในอนาคตฉันก็แค่ต้องทำในสิ่งที่เราควรทำ..เนื่องจากเขาเป็นทายาทที่ชอบธรรมเขาก็ควรจะกลับมาหาตระกูลเย่..นอกจากนี้ฉันเชื่อว่าอันซือเองก็คิดแบบนั้นเพราะเธอเป็นผู้หญิงของเจิ้งหรานและมีเลือดเนื้อของเจิ้งหรานจริงๆ..อีกอย่างเธอเองก็เป็นผู้หญิงที่น่าสงสารด้วยเพราะงั้นไม่ต้องกังวลไปหรอก..ฉันเชื่อว่าตราบใดที่ผู้อาวุโสยังมีชีวิตอยู่เธอก็จะไม่สามารถสร้างปัญหาใดๆได้เลย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเสี่ยวฉุยก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีเธอจึงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และปิดปากเพื่อหยุดพูดในทันที
เมื่อเย่เชียนเดินเข้าไปในลานกว้างโดยไม่รู้ตัวจู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องมาจากระยะไกลและเสียงนั้นก็ปลุกเย่เชียนขึ้นจากความคิดอันสับสนวุ่นวายของเขาทันทีและเขาก็เงยหน้าขึ้นและมองไปยังใจกลางกว้างและพบชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังฝึกชกมวยอยู่และหมัดนั้นก็แข็งแกร่งและรวดเร็วอย่างมากจนมีลมเสียงลมที่กระทบกับกำปั้นอย่างชัดเจน เทคนิคการชกนั้นดูแปลกไปจากปกติแต่เย่เชียนก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร อย่างไรก็ตามเขาก็รู้สึกได้ว่าทักษะมวยชุดนี้นั้นขาดความรุนแรงเชิงสังหารจุดตายไป ถึงแม้ว่าการโจมตีจะรุนแรงสักแค่ไหนแต่ถ้าหากเรากำลังต่อสู้อยู่ในสนามรบแล้วปราศจากความสามารถในการปิดฉากหรือโค่นล้มศัตรกูนั้นเกรงว่ามีประสิทธิภาพในการต่อสู้จะด้อยลงอย่างมาก
เย่เชียนไม่ได้ไปรบกวนชายหนุ่มแต่เขาเพียงยืนดูอยู่เงียบๆจนกว่าชายหนุ่มจะฝึกฝนการชกมวยเสร็จ จากนั้นเย่เชียนก็ปรบมือแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นการชกมวยที่ดีจริงๆ”
ชายหนุ่มก็ถึงผงะไปครู่หนึ่งและหันกลับมาซึ่งเมื่อเขาเห็นเย่เชียนร่องรอยของความประหลาดใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา และถามว่า “คุณเป็นใคร?”
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “มันไม่สำคัญหรอกว่าผมจะเป็นใครหรือคุณเป็นใคร..เพราะสมาชิกตระกูลเย่ทุกคนควรจะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดครบรอบแปดสิบปีของผู้อาวุโสใช่ไหมล่ะ?”
“หึ..ผมไม่มีคุณสมบัติมากพอ..การที่ตระกูลเย่ให้ที่อยู่อาศัยแก่ผมนั้นก็เป็นโชคที่ยิ่งใหญ่แล้ว..ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของผู้อาวุโสหรอก” ชายหนุ่มพูดอย่างขุ่นเคืองและคำพูดเหล่านั้นเผยให้เห็นถึงความเกลียดชังอย่างแรงกล้าต่อตระกูลเย่อย่างชัดเจน สิ่งนี้ทำให้เย่เชียนงุนงงและไม่สามารถคาดเดาได้เลย แต่ถ้าหากเขาสามารถอยู่ที่นี่ได้นั่นก็แสดงว่าเขาควรจะเป็นสมาชิกของตระกูลเย่และเนื่องจากเขาเป็นคนของตระกูลเย่แล้วทำไมเขาถึงไม่ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของเย่เจียอู๋กัน?
เย่เชียนก็กวาดสายตาไปรอบๆเพราะลานกว้างนี้อยู่ห่างไกลจากห้องโถงใหญ่มากและดูเหมือนว่าชายหนุ่มคนนี้จะไม่ใช่ทายาทสายตรงของตระกูลเย่แต่เป็นเพียงเชื้อสายห่างๆใช่หรือไม่? เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็พูดว่า “ผมขอเข้าไปได้มั้ย?”
มุมปากของชายหนุ่มเย้ยหยันและกล่าวว่า “จะไม่บอกหน่อยเหรอว่าคุณเป็นใคร?..ผมรู้แค่ว่าบ้านของตระกูลเย่นั้นไม่ใช่สถานที่ที่ผู้คนจะเดินไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ..แต่การที่คุณสามารถเดินไปเดินมาในบ้านของตระกูลเย่ได้นั้นคุณจะต้องเป็นแขกที่มาเข้าร่วมงานฉลองวันเกิดของผู้อาวุโสแล้วยังมีตำแหน่งและสถานะที่สูงด้วยใช่มั้ย?”
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผมไม่รู้ว่าคุณชมหรือเยาะเย้ยผมหรือเปล่าแต่ผมเป็นแขกผมชื่อเย่เชียนที่แปลว่าอ่อนน้อมถ่อมตนและเจียมเนื้อเจียมตัว”
ชายหนุ่มก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งและพูดด้วยความประหลาดใจว่า “แซ่สกุลของคุณคือเย่..แล้วคุณ…”
“บางคนก็พูดว่าผมเป็นทายาทของตระกูลเย่แต่บางคนก็บอกว่าผมไม่ใช่ทายาทของตระกูลเย่..แต่มันก็ไม่สำคัญสำหรับผมหรอกว่าผมจะเป็นทายาทหรือสมาชิกของตระกูลเย่หรือเปล่า..ถึงยังไงผมก็คือเย่เชียนและจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม” จากนั้นเย่เชียนก็พูดต่อ “เอาล่ะคุณรู้ชื่อของผมแล้วเพราะงั้นด้วยมารยาทคุณก็ควรจะบอกชื่อของคุณให้ผมทราบใช่มั้ย?”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน