ตอนที่ 764 การประลองของตระกูลเย่ ตอนที่ 4
เย่เชียนถึงกับผงะไปครู่หนึ่งและยิ้มจางๆแล้วพูดว่า “อันที่จริงผมก็ไม่ได้พูดอะไรมากผมแค่บังเอิญพบเขาตอนที่ผมเดินไปรอบๆเพราะงั้นผมจึงลองสู้กับเขาเพราะเห็นว่าทักษะของเขานั้นดีมากแต่ท่วงท่าของเขามากเกินไป..ซึ่งความสง่างามในท่วงท่าการโจมตีนั้นไม่สามารถใช้ต่อสู้จริงได้ผมจึงบอกเขาแค่ไม่กี่คำว่าในการต่อสู้จริงสิ่งที่เขาควรจะสนใจไม่ใช่ท่วงท่าและการเคลื่อนไหวแต่เป็นการโค่นล้มศัตรูและการโจมตีที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาที่สุดมักจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดเช่นกัน”
คำพูดของเย่เชียนทำให้เย่เจียอู๋ทั้งประหลาดใจและมีความสุขและกังวลไปพร้อมๆกันเพราะข่าวดีก็คือเย่เชียนสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำและสามารถทำให้เย่หานหลินเอาชนะเย่หานรุ่ยได้ ซึ่งเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าการขัดเกลาของเย่เชียนนั้นเหนือกว่าสมาชิกคนอื่นๆของตระกูลเย่มาก แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าระดับการขัดเกลาของเขาเกินจริงไปแต่จิตวิญญาณการต่อสู้และความเข้าใจในศิลปะการต่อสู้ของเย่เชียนนั้นยอดเยี่ยมกว่าสมาชิกคนอื่นๆของตระกูลเย่ แต่สิ่งที่น่ากังวลก็คือเย่หานหลินเป็นลูกหลานของตระกูลสาขาแต่กลับสามารถเอาชนะหลานชายคนโตของตระกูลเย่ได้และทำให้ความยิ่งใหญ่ของตระกูลเย่ลดลงจนทำให้เย่เจียอู๋รู้สึกอึดอัดอย่างมาก
“เอ็งรู้หรือเปล่าว่าเอ็งกำลังทำอะไรอยู่?..ตระกูลหลักของตระกูลเย่นั้นเหนือกว่าตระกูลสาขาเสมอ..เพราะงั้นเราไม่ควรที่จะปรับเปลี่ยนทัศนคติของพวกเขาแต่นั่นคือสิ่งที่เอ็งทำไม่ใช่เหรอ?..ถ้าหากทายาทของตระกูลหลักถูกหัวเราะเยาะล่ะก็ในอนาคตเราจะเป็นผู้นำได้ยังไง?” น้ำเสียงของเย่เจียอู๋ดูไร้ความอดทนและจริงจังอย่างมาก
เย่เชียนก็ยักไหล่แล้วพูดว่า “ท่านปู่ไม่ว่าสมาชิกตระกูลหลักจะอยู่เหนือตระกูลสาขาหรือไม่นั้นศิลปะการต่อสู้และสถานะมันไม่ใช่สิ่งที่สำคัญเพราะกุญแจสำคัญคือการดูว่าคนๆนั้นมีความกล้าหาญและความสามารถนั้นหรือไม่..ไม่ทราบว่าท่านปู่เคยได้ยินชื่อเขี้ยวหมาป่ามั้ย?”
“เขี้ยวหมาป่า?” เย่เจียอู๋ส่ายหัวเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ฉันไม่รู้จัก”
“ไม่น่าแปลกใจเพราะในสายตาของผู้อาวุโสหรือคนเฒ่าคนแก่อย่างท่านปู่องค์กรเขี้ยวหมาป่านั้นอาจเป็นเพียงองค์กรทหารรับจ้างธรรมดาๆ..แต่มันมีอยู่สิ่งหนึ่งที่ควรค่าแก่การเรียนรู้เพราะผู้นำขององค์กรเขี้ยวหมาป่าไม่ใช่คนสูงศักดิ์และบรรดาลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชาต่างก็มีตำแหน่งและความสามารถที่โดดเด่นเป็นของตัวเองแต่ผู้นำก็ยังสามารถเป็นผู้นำและบัญชาพวกเขาได้เพราะนี่ไม่ใช่ว่าทักษะของเขาเหนือกว่าพวกลูกน้องแต่เป็นเพราะเขาปฏิบัติต่อทุกคนเหมือนพี่น้อง..นั่นคืออาวุธที่ทรงพลังที่สุดในโลกแต่ศิลปะการต่อสู้กลับเป็นเพียงเครื่องมือและใช่แค่พึ่งพาศิลปะการต่อสู้เพียงอย่างเดียว..หากคุณต้องการให้ใครสักคนรับคำสั่งจากตัวเองเพื่อทำสิ่งต่างๆล่ะก็มันก็ไม่จำเป็นต้องไปบังคับใครเลยเพราะงั้นผมไม่คิดว่าคุณจะบังคับผมใช่มั้ย?..อีกอย่างถ้าหากผมไปพูดสิ่งนี้กับเย่หานรุ่ยล่ะก็ผมเชื่อว่าผลลัพธ์มันจะไม่เปลี่ยนแปลง..คุณคิดว่าผมพูดถูกมั้ย?”
เย่เจียอู๋ก็อดไม่ได้ที่จะเงียบไปเพราะคนอื่นอาจจะไม่เข้าใจแต่เย่หานรุ่ยนั้นเป็นหลานชายแท้ๆของเขาและถึงแม้ว่าหลายปีมานี้เย่เจียอู๋จะไม่ค่อยได้เกี่ยวข้องกับเรื่องต่างๆของตระกูลเย่ก็ตามแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้อะไรเลย อย่างที่เย่เชียนพูดถึงแม้ว่าเย่เชียนจะพูดกับเย่หานรุ่ยเหมือนที่พูดกับเย่หานหลินล่ะก็ถึงยังไงผลลัพธ์ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงเพราะความเย่อหยิ่งของเย่หานรุ่ยนั้นแน่นอนว่าเขาจะไม่ฟังคำพูดของเย่เชียนเลยแม้แต่น้อยและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของเขาได้เลย
เมื่อมองไปที่เย่เชียนแล้วเย่เจียอู๋ก็รู้สึกว่าชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าเขาเป็นเหมือนตัวเองในวัยหนุ่มที่มีไหวพริบอันเฉียบแหลมและมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์จนเขาอดไม่ได้ที่จะแอบคิดว่าถ้าหากตระกูลเย่ถูกส่งต่อไปให้เย่เชียนในอนาคตล่ะก็อนาคตของตระกูลเย่อาจจะยอดเยี่ยมและรุ่งโรจน์ยิ่งกว่านี้
เย่เจียอู๋ไม่ได้พูดอะไรอีกและเย่เชียนก็ไม่ได้พูดเช่นกันแต่รอยยิ้มจางๆก็ยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา ซึ่งบนสังเวียนนั้นเย่หานหลินดูตื่นเต้นอย่างมากเพราะเขาสามารถเอาชนะเย่หานรุ่ยหลานชายคนโตของตระกูลเย่ได้ในรอบแรกและนี่คือสิ่งที่เขาภูมิใจมาก ซึ่งดูเหมือนเขาจะมองเห็นอนาคตของเขาและเขาก็รู้ดีอยู่ในใจว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะเย่เชียนเพราะถ้าหากเย่เชียนไม่ประลองฝีมือกับเขาและไม่ย้ำเตือนเขาเช่นนั้นล่ะก็ผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้หรือไม่? เมื่อนึกถึงเรื่องนี้เย่หานหลินก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเย่เชียนบนอัฒจันทร์และพยักหน้าอย่างซาบซึ้ง
บรรดาแขกบนอัฒจันทร์ก็ประหลาดใจเช่นกันเพราะพวกเขาไม่รู้จักเย่หานหลินแต่พวกเขารู้จักเย่หานรุ่ยซึ่งเป็นหลานชายคนโตของตระกูลเย่และปรากฏว่าชายหนุ่มไร้นามกลับเอาชนะผู้ที่เป็นถึงทายาทของตระกูลหลักได้อย่างไม่คาดคิดซึ่งทำให้พวกเขาประหลาดใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตามใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะเพราะนี่หมายความว่าตระกูลเย่กำลังจะตกต่ำลงอีกครั้งเพราะลูกหลานของทายาทตระกูลกลับพ่ายแพ้ให้กับตระกูลสาขา
สายตาของเย่เชียนก็ยังกวาดไปทั่วแขกบนอัฒจันทร์ทีละคนเพราะคนเหล่านี้อาจจะเป็นศัตรูของเขาเองในอนาคตดังนั้นเย่เชียนจึงต้องการจดจำพวกเขาโดยธรรมชาติ แต่ทว่าคนหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งได้ดึงดูดความสนใจของเย่เชียนเป็นพิเศษ ซึ่งใบหน้าของชายหนุ่มไม่ได้มีรอยยิ้มแห่งชัยชนะเหมือนของคนอื่นๆแต่มันกลับมืดมนมากและรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างยิ่ง นี่คือเจตนาฆ่าเย่เชียนนั้นรู้ดีเพราะของหลินเฟิงนั้นเป็นอีกแบบและไม่รุนแรงเท่าชายหนุ่มคนนี้
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มยังสังเกตเห็นการจ้องมองของเย่เชียนดังนั้นเขาจึงเหลือบมองเย่เชียนด้วยหางตาอย่างเย็นชาราวกับแค้นกันมานานหลายปี ถ้าไม่ใช่เพราะเย่เชียนเดินอยู่เส้นขอบระหว่างชีวิตและความตายมานานหลายปีจนมีประสบการณ์ผ่านความตายนับไม่ถ้วนล่ะก็เกรงว่าดวงตาของชายหนุ่มคนนี้อาจจะทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้านก็เป็นได้
สายตาของชายหนุ่มเป็นเพียงแวบเดียวและเขาก็ไม่ได้แสดงออกมากจนเกินไป ส่วนเย่เชียนก็หันไปเหลือบมองเย่เจียอู๋แล้วถามว่า “ท่านปู่ครับชายหนุ่มคนนั้นเป็นใครหรือครับ..ดูเหมือนว่าทักษะของเขาจะไม่ธรรมดาเลย”
เย่เจียอู๋ก็หันไปและชำเลืองมองแล้วพูดว่า “นั่นคือหยานซื่อฉุยลูกชายคนโตของตู่ฟู่เหว่ยผู้นำของสำนักม่อจื๊อ..ทักษะของเขาไม่ธรรมดาเลย..หากฉันคาดเดาไม่ผิดล่ะก็ขอบเขตศิลปะการต่อสู้โบราณของเขาน่าจะอยู่ในระดับสูงแล้ว..ซึ่งเขาเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของรุ่นเยาว์ในสำนักม่อจื๊อ..เขานั้นไม่ธรรมดาเลยเพราะงั้นหากเอ็งได้พบเขาในอนาคตเอ็งก็ควรจะระวังตัวเอาไว้”
“หยานซื่อฉุย?” เย่เชียนพึมพำเบาๆแล้วพูดว่า “ทำไมชื่อของเขาถึงดูเหมือนชื่อของผู้หญิงเลยล่ะ?” นี่ควรจะเป็นสาวกสายอธรรมของลัทธิม่อจื๊อใช่หรือไม่? เพราะม่อหลงนั้นเป็นผู้นำที่แท้จริงของลัทธิม่อจื๊อดังนั้นเย่เชียนจึงรู้สึกว่าเขาต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับลัทธิม่อจื๊ออย่างมาก


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน