ตอนที่ 937 มื้อเย็นกับครอบครัว
คนเฒ่าคนแก่นั้นชอบเด็กๆเสมอและแน่นอนว่าเย่หลินนั้นเก่งในด้านนี้อย่างไม่ต้องสงสัยเพราะเด็กคนนี้มีความเป็นมิตรและน่ารักน่าเอ็นดูตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ในบรรดานักเรียนในโรงเรียนไม่มีใครที่ไม่รู้ว่าเธอเป็นเด็กดื้อ? แต่ในสายตาครูทุกคนแล้วเธอเป็นลูกศิษย์ที่ดีและนิสัยดีอย่างมาก ต้องบอกเลยว่าเด็กคนนี้เข้าสังคมเป็นตั้งแต่ยังเด็ก
“คุณย่าแต่หลินหลินตัวหนักนะคุณย่าจะเมื่อยเอาถ้าอุ้มหนู” เย่หลินเดินไปจับมือถังซูหยานแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
เย่เชียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “แม่ครับเด็กคนนี้เจ้าเลห์ตั้งแต่เด็กเพราะงั้นอย่าไปตามใจเธอมากเกินไปล่ะไม่งั้น มิฉะนั้นเดี๋ยวเธอจะเสียนิสัยเอา”
“ยังไงซะเธอก็เป็นหลานสาวของแม่เพราะงั้นไม่เป็นอะไรหรอก” ถังซูหยานตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป จากนั้นเธอก็หันไปมองเย่เชียนแล้วพูดว่า “นี่ลูกแต่งงานตั้งแต่อายุเท่าไหร่กัน..ทำไมหลินเอ๋อร์ถึงได้ตัวโตขนาดนี้”
เย่เชียนก็ถึงกับผงะแล้วยิ้มอย่างเขินอายแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะต่อหน้าเย่หลินแล้วเย่เชียนไม่อยากที่จะพูดความจริงออกมา อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่อยากพูดถึงความหลังอันโศกเศร้าของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆและยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนไม่อยากให้เย่หลินรู้สึกว่าเขาไม่เคยมองว่าเธอเป็นลูกสาวแท้ๆของเขาเลย แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่หลินก็ทำหน้ามุ่ยแล้วพูดทั้งน้ำตาว่า “คุณย่าคะอันที่จริงหนูไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆของพ่อแต่เป็นลูกบุญธรรมของพ่อ..แบบนี้คุณย่าจะเกลียดหนูหรือเปล่า”
“ใช่..เธอเป็นลูกบุญธรรมที่น่าสงสาร..แต่หลินหลินนิสัยดีมาก..ทั้งหยูเอ๋อร์และเค่อเอ๋อร์ก็รักหลินหลินมากเหมือนกันเพราะงั้น…” เย่เชียนพูด
“ไม่ต้องอธิบายถึงขนาดนั้นหรอก..เธอเห็นแม่เป็นคนยังไง?” ถังซูหยานมองเย่เชียนด้วยความขมขื่นและพูด จากนั้นเธอก็ก้มหน้าลงและลูบหัวของเย่หลินแล้วพูดว่า “ไม่ว่าหนูจะเป็นหลานสาวในสายเลือดของย่าหรือไม่ก็ตามแต่ถึงยังไงหนูก็เป็นหลานสาวของย่าเหมือนกัน..ย่ารักหนูมาก..มาสิวันนี้ย่าทำอาหารเอาไว้ตั้งเยอะ..ไปดูกันว่าหนูชอบหรือเปล่า
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่หลินก็หันไปมองเย่เชียนอย่างภาคภูมิใจและมีความสุขจนเย่เชียนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี อย่างไรก็ตามเย่หลินก็มีชีวิตชีว่าและร่าเริงอย่างมากและเธอก็ทำให้ถังซูหยานมีความสุขหลังจากที่เธอไม่ได้รับความสุขมานาน ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องดีเช่นกันเพราะเย่หลินนั้นเป็นเด็กที่ซนมากจนตอนแรกเย่เชียนถึงกับกังวลเล็กน้อยว่าแม่ของเขาจะชอบเธอหรือเปล่า
เมื่อพวกเขาไปที่ห้องอาหารเย่เจียอู๋กับเย่เจิ้งเซียงและคนอื่นๆก็รออยู่ที่ที่นั่นแล้ว หลังจากที่เห็นถังซูหยานพาพวกเขาเข้ามา พวกเขาก็ลุกขึ้นทีละคนและหลังจากที่เย่เชียนแนะนำพวกเขาทีละคนใบหน้าของเย่เจียอู๋ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเขาก็ไม่สามารถหุบยิ้มได้ แน่นอนว่าเย่เจียอู๋ยังคงมีความคิดเกี่ยวกับระบบศักดินาอยู่บ้างและเขาก็หวังว่าเย่เชียนจะแต่งงานและหาภรรยาเพิ่มอีกเพื่อที่ตระกูลเย่จะได้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
การแสดงออกของเย่เจิ้งเซียงนั้นดูแข็งทื่อเล็กน้อยและดูเหมือนว่าเขายังมีความคิดและทัศนคติด้านลบมากมายเกี่ยวกับเย่เชียน แต่เป็นเพราะเย่เจียอู๋อยู่ที่นี่ดังนั้นเขาจึงเก็บสิ่งที่เขาคิดเอาไว้ในใจและแน่นอนว่าเย่เชียนก็รู้เช่นกันแต่เขาไม่ได้พูดอะไร ยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนยังตัดสินใจจะคุยกับเย่เจิ้งเซียงดีๆเมื่อเขามีเวลาในอนาคตเพื่อที่จะสามารถแก้ไขความขัดแย้งระหว่างเขากับเย่เจิ้งเซียงได้และปรับความเข้าใจกัน นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดและไม่มีอะไรดีไปกว่าความปรองดองในครอบครัวอีกแล้ว อย่างไรก็ตามเย่เจิ้งเซียงก็เป็นญาติผู้ใหญ่ของเขาดังนั้นเย่เชียนจึงไม่อยากมีความขัดแย้งใดๆกับเขาเพราะการพังทลายขององค์กรหรือตระกูลใดๆนั้นก็เริ่มจากการแตกหักภายในเสมอ
ที่งานเลี้ยงนั้นถังซูหยานมีความสุขมากและเธอก็มักจะเสิร์ฟอาหารให้กับทุกคน คนเป็นแม่นั้นใครจะไม่ต้องการบรรยากาศเหล่านี้? การที่ครอบครัวมีความสุขนั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดแต่ก็น่าเสียดายเพราะถ้าหากเย่เจิ้งหรานยังมีชีวิตอยู่สิ่งต่างๆคงจะดีกว่านี้มาก
“คุณปู่ครับหานซวนและคนอื่นๆยังไม่กลับมาอีกเหรอ?” เย่เชียนถาม อย่างไรก็ตามในบรรดาพี่น้องทั้งหมดเย่เชียนนั้นเป็นมิตรกับเย่หานซวนมากที่สุดดังนั้นเขาจึงถามคำถามนี้โดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตามความหมายนั้นก็ชัดเจนว่าเขาก็ยังคงเป็นห่วงเป็นใยสองพี่น้องอย่างเย่หานรุ่ยและเย่หานห่าวเช่นกัน
“ยังไม่ถึงเวลากลับ..ให้พวกเขาได้รับประสบการณ์มากกว่านี้ก่อน” เย่เจียอู๋พูด “แต่ฉันสั่งให้หานซวนไปทำอย่างอื่นเพราะเขาอยู่ในกองทัพมาตั้งแต่เด็กๆเพราะงั้นให้เขาอยู่ต่อก็เหมือนจะไม่ได้อะไรมากนัก..ส่วนหานรุ่นกับหานห่าวนั้นฉันให้เขาไปฝึกต่อเพราะมันจะดีสำหรับพวกเขาในอนาคต”
เย่เชียนก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “จริงๆแล้วทั้งสองคนนั้นมีความสามารถมากเพราะงั้นถ้าหากพวกเขาผ่านการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงไปได้พวกเขาจะกลายเป็นเสาหลักของตระกูลเย่ในอนาคตอย่างแน่นอน” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เจิ้งเซียงก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดและหลังจากนั้นไม่นานเขาก็มองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจ แน่นอนว่าเย่เชียนเองก็รู้ว่าเย่เจิ้งเซียงคิดอะไรอยู่ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “ลุงเจิ้งเซียงครับผมเข้าใจว่าคุณคิดอะไรอยู่..คนเราน่ะถ้าไม่ผ่านประสบการณ์ที่เหน็ดเหนื่อยและยากลำบากไปได้เราก็จะไม่สามารถเติบโตได้..เพราะฉะนั้นถ้าหากทั้งสองผ่านการฝึกไปได้ล่ะก็ความสำเร็จในอนาคตของพวกเขาจะต้องยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน”
เย่เจิ้งเซียงไม่ได้พูดอะไรใดๆแต่เขาสามารถเห็นความหมายและความจริงใจในสายตาของเย่เชียนได้อย่างชัดเจน เขาไม่ใช่คนโง่และไม่ใช่พ่อที่ไม่เชื่อในตัวลูกชายของเขาดังนั้นเขายังคงเข้าใจสิ่งนี้เป็นอย่างดี
“เสี่ยวเชียนสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงล่ะ?..ตอนนี้สำนักหยุนหยานเหมินตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?” เย่เจียอู๋หันไปถามเพราะเขารู้ว่าเย่เจิ้งเซียงกำลังคิดอะไรอยู่และเขาก็กลัวว่าจะมีความขัดแย้งระหว่างเย่เจิ้งเซียงกับเย่เชียนเกิดขึ้นอีกดังนั้นเขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“ตอนนี้สำนักหยุนหยานเหมินไม่เหลืออะไรแล้วและอาจจะต้องใช้เวลาสักระยะเพื่อฟื้นฟู..ตอนนี้สภาพจิตใจของอาจารย์ก็ยังไม่ค่อยดีเพราะงั้นคงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าเธอจะหายดีค่ะ” หูวเค่อพูด
เย่เจียอู๋พยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่!..ยังไงก็เถอะพวกญี่ปุ่นมันหยิ่งผยองและโอหังเกินไป!..พวกมันกล้ามาเหยียบย่ำประเทศจีนของเรา..ดูเหมือนว่าพวกมันจะลืมความอัปยศในอดีตไปแล้ว” ในช่วงสงครามต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่นนั้นกลุ่มสมาชิกระดับแนวหน้าของโลกศิลปะการต่อสู้จีนโบราณก็ได้เข้าร่วมกองกำลังเพื่อโจมตีกองทัพญี่ปุ่นและทำการกวาดล้างนินจาเกือบทั้งหมดในประเทศจีนและยังไปลอบสังหารนายพลที่ประจำการในประเทศญี่ปุ่นจำนวนนับไม่ถ้วนที่คอยสั่งการรุกรานประเทศจีน ซึ่งนี่เป็นการดำเนินการร่วมกันที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลกศิลปะการต่อสู้จีนโบราณและยังแสดงให้เห็นถึงศักดิ์ศรีและความสามารถของโลกศิลปะการต่อสู้จีนโบราณอีกด้วย


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน