เฉิงเซ่าได้รับบัญชาก็รีบไปยังวังเฉียนชิง
ฮ่องเต้ทรงประทับบนพระแท่นข้างพระบัญชร แสงแดดยามเช้าต้นฤดูร้อนทอดผ่าน หน้าต่างกระจกสุกใสต้องพระพักตร์ของพระองค์ที่เหลืองแห้ง เหนื่อยล้าและอิดโรย
เฉิงเซ่าลอบตกใจ นึกถึงข่าวที่ได้ยินมาบางส่วนเหล่านั้นในช่วงที่ผ่านมา
หรือว่าพระวรกายขององค์ฮ่องเต้ทรุดโทรมลงจริงๆ กันนะ
เขาไม่กล้าเผยสีหน้าพิรุธ ก้าวเข้าไปถวายบังคมอย่างนอบน้อม
ฮ่องเต้ทรงให้คนเก็บฎีกาบนโต๊ะทรงพระอักษรตัวเล็ก พลางตรัสว่า “นั่งลงสนทนากัน เถิด!”
เป็นฮ่องเต้กับข้าราชบริพานมายี่สิบกว่าปี เฉิงเซ่าไม่เกรงใจ ถอดรองเท้าแล้วนั่งลงอีกฝั่ ง ของโต๊ะนํ้าชา
ขันทีค้อมกายเล็กน้อย เดินเข้ามาวางกระดานหมากล้อมอย่างเบามือเบาเท้า
ทว่าฮ่องเต้กลับมิได้ทรงถือหมากดังเช่นทุกที แต่โบกพระหัตถ์ให้ขันทีที่ปรนนิบัติอยู่ใน ห้องถอยออกไปให้หมด แล้วตรัสถามเฉิงเซ่าว่า “เหลนสองคนของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เฉิงเซ่าประหลาดใจเล็กน้อย ทูลตอบว่า “พระองค์ตรัสถามถึงอาเป่ ากับอาเหรินหรือพ่ะ ย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์
เฉิงเซ่ายิ้มพลางทูลว่า “ความประพฤติของเด็กทั้งสองล้วนไร้เดียงสายิ่ง ส่วนเรื่องที่ว่าเป็น เมล็ดพันธุ์แห่งการเรียนรู้หรือไม่นั้น ตอนนี้ยังดูไม่ออก แต่เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว อุปนิสัยก็สดใสร่า
5456
เริงขึ้นไม่น้อย ทุกครั้งที่ไปบ้านจื่อชวน ก็เล่นแหย่นกวิ่งไล่สุนัขกับลูกชายคนโตของจื่อชวน โหวกเหวกเสียงดังจนวุ่นวายเลยทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้สดับฟังแล้วก็แย้มพระสรวลพลางตรัสว่า “ดูเหมือนเด็กๆ จะสนิทสนมกันมาก!”
เฉิงเซ่าทูลว่า “ตระกูลเฉิงในจิงเฉิงมีกันทั้งหมดเพียงไม่กี่คน เวลาฉลองปีใหม่หรือเทศกาล ต่างๆ ก็ไปมาหาสู่กัน ค่อนข้างครึกครื้นเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ ตรัสว่า “นั่นก็เป็นเพราะพวกเจ้าอยู่ร่วมกันอย่างอบอุ่น ไม่เช่นนั้น เด็กเป็นผู้ที่มีการรับรู้ไวที่สุด ใครดีกับเขา ใครไม่ดีกับเขา เขาเห็นแล้วจะไม่พูด แต่ความจริงในใจ กลับมีตาชั่ง หาไม่แล้วเด็กที่เติบโตขึ้นในสถานสงเคราะห์ ก็คงไม่กล้าเล่นแหย่นกวิ่งไล่สุนัขกับ บรรดาคุณชายตัวจริงหรอก”
เฉิงเซ่าคลี่ยิ้มพลางขานรับว่า “พ่ะย่ะค่ะ” มิได้ต่อบทสนทนาอย่างรู้ความ แปดถึงเก้าใน สิบส่วนฮ่องเต้ทรงระลึกถึงบรรดาองค์ชายทั้งหลายเป็นแน่
ใครจะรู้ว่าฮ่องเต้กลับตรัสถึงหัวข้อสนทนานี้ต่อ ตรัสว่า “ได้ยินว่าบรรดาคุณชายของจวน เผิงเฉิงป๋ อล้วนเล่าเรียนที่ประตูเฉาหยางหรือ”
เฉิงเซ่าทูลตอบยิ้มๆ ว่า “หลังจากลูกชายคนโตของจื่อชวนเกิดพี่สะใภ้กระหม่อมถึงได้ค้น พบว่าลูกของญาติที่เกี่ยวดองกันในจิงเฉิงหลายตระกูลล้วนมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน คิดว่าหาก เด็กๆ เรียนหนังสือด้วยกันก็จะมีเครื่องกระตุ้น จึงเชิญอาจารย์ที่เกษียณจากสํานักฮั่นหลินคนหนึ่ง มาเป็นอาจารย์สอนที่บ้าน สอนวิชาพื้นฐานแก่พวกเด็กๆ เผิงเฉิงป๋ อเห็นว่าตระกูลของกระหม่อม ให้กําเนิดจิ้นซื่อหกคนในสามรุ่น คิดว่าคนในตระกูลกระหม่อมมีเคล็ดลับในการอ่านตํารา จึงส่ง ลูกมาที่ประตูเฉาหยาง รํ่าเรียนร่วมกับลูกๆ ของญาติที่เกี่ยวดองกับตระกูลกระหม่อม พระองค์ก็ ทรงทราบ ความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้ใหญ่ของกระหม่อมกับฮูหยินเฟิ งเซิ่งนั้นดียิ่งตั้งแต่ต้น
5457
ด้วยเหตุนี้จึงมิได้มองลูกของตระกูลเผิงเป็นคนนอก ให้พวกเด็กๆ รวมตัวกันเรียนหนังสือด้วยกัน พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แย้มพระสรวลตรัสว่า “ตระกูลพวกเขามุ่งมั่นปรารถนาให้ครอบครัวกําเนิดบัณฑิต สักคนหนึ่งออกมาให้ได้”
เฉิงเซ่าได้ยินพระสุรเสียงในพระดํารัสนั้นเจือความชื่นชมหลายส่วน ก็คล้อยตามพระ ดํารัสของฮ่องเต้ทูลว่า “เด็กๆ ควรศึกษาเล่าเรียนให้มากสักหน่อย หากรู้หนังสือและมีเหตุผล บรรดาพี่น้องในตระกูลก็จะรักใคร่กลมเกลียวกันมากขึ้นเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
ทว่าฮ่องเต้สดับฟังแล้วกลับแย้มพระสรวลเย็นทีหนึ่ง ตรัสว่า “ราชครูที่เราหาให้องค์ชาย ทั้งหลายมีความรู้ความสามารถไม่ลึกซึ้งกว้างขวางพอหรืออย่างไร เหตุใดลูกหมาป่ า ทะเยอทะยานหลายตัวนั้นถึงไม่รู้ว่าอะไรคือพี่น้องปรองดองเคารพกันแม้คนเดียวเล่า”
เฉิงเซ่าทูลว่า “หากจะโทษก็ต้องโทษราชวงศ์ของพระองค์ที่รํ่ารวยมั่งคั่งเกินไป แม้แต่ทาง แห่งปราชญ์ก็ห้ามไม่อยู่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้สดับฟังแล้วสีพระพักตร์ก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เฉิงเซ่ามองออกว่า ฮ่องเต้มิได้ทรงมีพระประสงค์จะเล่นหมากล้อม แต่ทรงหนักพระทัย
“อากาศวันนี้ไม่เลว” เขาเอ่ยขึ้นมา “ตอนที่กระหม่อมมาก็เห็นดอกกุหลาบพันปีหลังพระ ตําหนักเบ่งบานหมดแล้ว องค์ฮ่องเต้ทรงประสงค์จะเสด็จไปเดินเล่นหลังพระตําหนักหรือไม่ ประเดี๋ยวดวงอาทิตย์ก็จะโผล่ออกมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ดอกไม้ก็จะร่วงโรยไป
เมื่อคืนฮ่องเต้เพิ่งทรงทราบว่าพระชายาองค์ชายสี่ฝากฝังหลานสาวจากบ้านเดิมของตน ไว้กับตําหนักฉือหนิง”
5458
ตอนนั้นพระองค์ก็ทรงพระพิโรธยิ่ง ไม่ง่ายเลยกว่าจะสะกดพระทัยจนเสร็จสิ้นการว่าราช กิจในเช้าวันนี้ได้ ทว่าความกริ้วนี้นอกจากจะไม่มลายหายไปแล้ว ในทางกลับกันยิ่งสั่งสมก็ยิ่งอัด แน่น พระองค์ไม่ทรงประสงค์จะพิโรธด้วยเรื่องเหล่านี้อีก จึงเรียกเฉิงเซ่ามาพบ
แต่พอทอดพระเนตรเห็นเฉิงเซ่าแล้ว พระองค์ก็อดตรัสถามถึงครอบครัวของเฉิงเซ่าไม่ได้ แม้แต่พระองค์เองก็ทรงไม่ทราบว่าปรารถนาจะสดับฟังคําตอบเช่นไร…
เช่นนั้นก็วางเรื่องนี้ไปก่อนดีกว่า
พระองค์มีพระชนมายุมากแล้ว ทรงประสงค์ให้โอรสทุกพระองค์ได้ดีกันหมดเสมอ
ฮ่องเต้ไปตําหนักหลังกับเฉิงเซ่า ทอดพระเนตรดอกกุหลาบพันปีอย่างไม่สนพระทัยนัก ตอนเที่ยงก็ทรงรั้งเฉิงเซ่ารับประทานอาหาร
เฉิงเซ่ามักจะกินอย่างผ่อนคลายจนอิ่มได้ นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ฮ่องเต้ทรงชื่นชอบรั้งเขา อยู่รับประทานอาหาร
หลังเสวยพระกระยาหารเสร็จ หมอหลวงเฉาก็มาตรวจพระชีพจรพอดี
เฉิงเซ่าจึงเตรียมจะถอยออกไป
แต่ฮ่องเต้กลับทรงรั้งเขาเล่นหมากล้อม
จวบจนตอนที่เล่นหมากล้อม พระทัยของฮ่องเต้ก็ค่อยๆ ดีขึ้น ทั้งสองคนยิ้มแย้มสนทนา กัน ตอนกลางคืนเฉิงเซ่าเข้าเวรที่สํานักฮั่นหลิน ส่วนฮ่องเต้เนื่องจากไทเฮาเสด็จกลับมาจากวัดต้า เซียงกั๋ว จึงเสด็จไปรับไทเฮากลับวังที่ประตูเสินอู๋แต่เนิ่นๆ
เฉิงเซ่าจับตาดูความเคลื่อนไหวทางนั้นมาโดยตลอด
5459
ได้ยินว่าฮ่องเต้ทรงเสวยพระกระยาหารที่ตําหนักฉือหนิง จากนั้นก็ทรงสนทนาเป็นเพื่อน ไทเฮาแล้วเสด็จกลับพระตําหนัก เขาก็อดไม่ได้พรูลมหายใจยาวเหยียดออกมา
เรื่องที่เฉิงฉือกังวลมิได้เกิดขึ้น เห็นได้ว่าองค์ชายสี่ยังไม่มีพระทัยกล้าถึงเพียงนั้น
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน