บทที่ 102 งานฉลองการสร้างรากฐาน ปัญหาของผู้บำเพ็ญเซียนแห่งตระกูลหลิน
หลังจากนั้น ผู้บำเพ็ญมนุษย์ตระกูลหวงก็มอบของขวัญ
มันคือกล่องไม้งดงามสองกล่อง แต่ละกล่องหนักจนต้องใช้ผู้บำเพ็ญมนุษย์สองคนในการยกก่อนจะนำมาวางไม่ไกลจากตรงหน้าสวีจื่อรั่ว
“ขอบคุณสหายเต๋าเหวินหลิน ขอบคุณตระกูลหวง ฝากทักทายผู้นำตระกูลหวงแทนข้าด้วย” สวีจื่อรั่วพยักหน้าไปทางหวงเหวินหลิน
หวงเหวินหลินยิ้มแล้วเอ่ยคำ “แน่นอนอยู่แล้ว”
จากนั้นคนจากตระกูลอื่นก็มอบของขวัญแสดงความยินดีเช่นกัน
ทว่าของขวัญแสดงความยินดีจากตระกูลเหล่านี้ด้อยกว่าตระกูลหวงเล็กน้อย ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ใช่พันธมิตรของตระกูลสวี อย่างดีที่สุดก็มีความสัมพันธ์ธรรมดาที่ไม่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ถ้ามีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง คนเหล่านี้ก็ไม่สามารถพึ่งพาได้
ในโลกเซียน การสร้างรากฐานมีความสำคัญอย่างยิ่ง
หากการสร้างรากฐานขึ้นอยู่กับพรสวรรค์รากฐานวิญญาณของผู้บำเพ็ญเซียน เช่นนั้นการบำเพ็ญจินตานหรือร่างวิญญาณก็ขึ้นอยู่กับการสร้างรากฐาน
ยิ่งรากฐานสมบูรณ์มากเท่าไร การสร้างจินตานหรือแม้กระทั่งร่างวิญญาณก็ยิ่งง่ายดาย!
นี่คือเหตุผลว่าทำไมผู้มีความสามารถทั้งหลายจึงดูถูกยาสร้างรากฐานธรรมดา
เพราะยาสร้างรากฐานธรรมดาไม่สามารถทำให้ผู้คนสร้างรากฐานที่สมบูรณ์ได้
เมื่อช่วงการมอบของขวัญสิ้นสุดลง หลินหวั่นชิงก็เอ่ยคำอย่างเกียจคร้าน “สามี ถึงเวลาที่พวกเราผู้บำเพ็ญธรรมดาต้องมอบของขวัญแล้ว! ข้าขอตัวก่อน”
สวี่หยางพยักหน้า “อื้ม!”
ผ่านไปสักพัก สวี่หยางก็มาถึงหน้าสวีจื่อรั่ว
“คุณหนูใหญ่ ขอแสดงความยินที่สร้างรากฐานได้สำเร็จ นี่เป็นของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ จากข้า”
แม้สวีจื่อรั่วจะถูกรายล้อมด้วยผู้คนมากมาย แต่นางยังคงสนทนากับสวี่หยางพร้อมแสดงความขอบคุณ
หลังจากได้รับของขวัญ สวีจื่อรั่วก็ทำการตรวจสอบ
ข้างในมีโอสถวิญญาณที่มีมูลค่าเท่ากับหินวิญญาณหลายร้อยก้อน
สำหรับสวี่หยางผู้ไม่ได้มีสถานะสูงส่งและพละกำลังอ่อนแอ เขาจึงไม่จำเป็นต้องมอบของดีมากนัก แค่นี้ก็เกินพอแล้ว
“ขอบคุณสำหรับน้ำใจในครั้งนี้ สหายเต๋าสวี่ให้ภรรยานั่งได้ตามสบาย หลังจากนี้เชิญกินกันตามสะดวกเลย”
“ขอบคุณ”
สวี่หยางพยักหน้า
หลินหวั่นชิงตามติดข้างกายสวีจื่อรั่ว นางพยักหน้าให้สวี่หยางเล็กน้อยเพื่อบอกว่าจะตามไปทีหลัง
เมื่อสวี่หยางจากไป สวีจื่อรั่วก็ตกอยู่ในห้วงความคิด
ทันทีที่สายตาของหลินหวั่นชิงกับสวี่หยางสบกัน นางย่อมสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
แล้วความคิดอันเหลือเชื่อก็ผุดขึ้นในใจ
‘หรือว่าคนที่หลินหวั่นชิงชอบจะเป็นสวี่หยาง?’
เมื่อคิดอย่างถ้วนถี่ มันก็มีความเป็นไปได้!
ก่อนหน้านี้หลินหวั่นชิงโดนพิษและถูกวินิจฉัยว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน หลังจากนั้นร่างกายของนางก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวด้วยความช่วยเหลือของสวี่หยาง
ในช่วงเวลานี้ ทั้งสองก็ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น ซึ่งในกรณีนี้อาจเกิดการสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อ ทันทีที่ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้ ความสัมพันธ์บางอย่างก็อาจเกิดขึ้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สวีจื่อรั่วก็มีสีหน้าแปลกประหลาด
สวี่หยางผู้นี้ดูแลหลินหวั่นชิงเป็นอย่างดีจริงเชียว
“หวั่นชิง!”
ตอนนี้เองที่สวีจื่อรั่วขานเรียก
หลินหวั่นชิงผู้กำลังมองแผ่นหลังของสวี่หยางตกตะลึงชั่วขณะ จากนั้นจึงตอบสนอง “มีอะไรหรือ ผู้อาวุโสสวี??”
สวีจื่อรั่วกลอกตาแล้วเอ่ยคำ “อย่าเรียกข้าว่าผู้อาวุโส ให้เรียกว่าเหล่าเลอ”
“ฮิฮิฮิ ตอนนี้เจ้าเป็นยอดฝีมือขอบเขตสร้างรากฐานแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่ข้าต้องเรียกเจ้าว่าผู้อาวุโส”
“จะว่าไปแล้ว พ่อแม่ของเจ้าไม่ใช่ว่าเพิ่งกลับมาหรือ พ่อของข้าได้ข่าวมาว่าพวกท่านกลับไปที่ตระกูลเพื่อขอความช่วยเหลือให้เจ้า!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินหวั่นชิงก็ตกตะลึงก่อนจะเอ่ยอย่างวิตก “พวกข้าแยกทางกับตระกูลไปนานแล้ว พ่อแม่ของข้าเกรงว่าเรื่องราวจะยิ่งยุ่งยากหากกลับไปหา!”
“เจ้ากังวลมากเกินไปแล้ว แม้ว่าพ่อแม่ของเจ้าจะออกจากตระกูลหลิน แต่พ่อของข้าบอกว่ายังมีผู้คนมากมายในตระกูลที่เห็นอกเห็นใจเจ้า ถึงอย่างไรสถานะของเจ้าก็เท่าเทียมกับข้า อีกทั้งเจ้าคือสมาชิกระดับสูงเพียงคนเดียวของตระกูลหลินที่มีรากฐานวิญญาณขั้นสูงในรอบหลายร้อยปีที่ผ่านมา”
เมื่อเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต หลินหวั่นชิงก็ถอนหายใจ “ทุกอย่างมันเป็นเพียงอดีต ตอนนี้ข้าสามารถไปถึงขอบเขตกลั่นลมปราณระดับเก้าได้ก็พอใจแล้ว”
“ไม่ เท่าที่ข้าทราบมา ตระกูลหลินอยากให้เจ้ากลับไป”
หลินหวั่นชิง “…?”
นางมองสวีจื่อรั่วด้วยความประหลาดใจโดยไม่ตอบสนองอยู่พักใหญ่
“ข้าไม่ได้หูฝาดใช่หรือไม่ ตระกูลหลินอยากให้ข้ากลับไปหรือ?”
“ใช่แล้ว เจ้าอยู่ในเมืองฟางก็เลยรู้ข้อมูลไม่มาก เจ้าคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลหลินในช่วงหลายปีที่ผ่านมา!”
จากนั้น สวีจื่อรั่วก็เริ่มเล่าให้ฟัง
ก่อนหน้านี้ ตระกูลหลินเหมือนกับตระกูลสวีตรงที่มีกองกำลังขอบเขตจินตานอยู่ในกำมือ
แต่หลังจากนั้น สถานการณ์กลับเลวร้ายกว่าเดิม
เมื่อหลายสิบปีก่อน ตระกูลหลินมีขอบเขตจินตานสองคน คนหนึ่งชรา อีกคนเยาว์วัย
ทว่าก็เกิดความขัดแย้งกับผู้บำเพ็ญเซียนในพื้นที่อื่น หลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่ ผู้บำเพ็ญมนุษย์ขอบเขตจินตานรุ่นเยาว์กับตระกูลศัตรูต่างแพ้พ่ายจนตกต่ำในที่สุด
แม้บรรพชนขอบเขตจินตานที่เหลือจะชนะการต่อสู้ในท้ายที่สุดจนสังหารผู้บำเพ็ญมนุษย์ขอบเขตจินตานของตระกูลศัตรูได้ แต่พวกเขาก็ได้รับผลย้อนกลับจนทำให้ล่วงลับไปเมื่อสามปีก่อน
หมายความว่าตระกูลหลินในตอนนี้เป็นเพียงตระกูลขอบเขตสร้างรากฐานเท่านั้น
เมื่อสามปีก่อน หลังจากบรรพชนขอบเขตจินตานล่วงลับ ตระกูลหลินก็พยายามสุดความสามารถเพื่อจะกลั่นโอสถที่จำเป็นต่อการสร้างจินตานขึ้นมา แล้วในที่สุดพวกเขาก็กลั่นมันได้สำเร็จ
“ไม่กี่เดือนก่อน ผู้อาวุโสของตระกูลเจ้านามว่าหลินอู่ไห่ได้พยายามสร้างจินตาน แต่น่าเสียดายที่มันล้มเหลว เขาประสบกับภัยพิบัติอัสนีจนถึงแก่ความตาย”
หลินหวั่นชิงตกตะลึง “พรสวรรค์ของผู้อาวุโสหลินอู่ไห่ไม่ได้ด้อยไปกว่าข้า เขาอาจมีความเข้าใจและความอุตสาหะมากยิ่งกว่า ทำให้เป็นคนที่มีความหวังมากที่สุดของตระกูลหลินที่จะสร้างจินตานขึ้นมาได้ แต่เขาก็ยังล้มเหลว”
“ถูกต้อง! ทุกวันนี้มีผู้บำเพ็ญมนุษย์ขอบเขตสร้างรากฐานขั้นปลายอยู่ในตระกูลหลินเพียงสองคนเท่านั้น อีกทั้งพวกเขายังแก่ชราและมีอายุขัยไม่ถึงสามสิบปี ซึ่งในบรรดารุ่นเยาว์ทั้งหลายก็มีพรสวรรค์ย่ำแย่เสียส่วนใหญ่ อาจกล่าวได้ว่าตระกูลหลินในตอนนี้กำลังประสบกับปัญหาขาดกำลังคน”
“หลังจากนั้น พ่อของข้าก็ทราบจากอาใหญ่ของเจ้าว่าอยากให้เจ้ากลับตระกูลเพื่อมุ่งเน้นไปที่การฝึกฝน เขาอยากให้เจ้าพัฒนาสู่ขอบเขตสร้างรากฐานขั้นกลางภายในยี่สิบปี รวมถึงวางแผนที่จะให้สร้างจินตานในอนาคต”
สวีจื่อรั่วแย้มยิ้มเมื่อกล่าวถึงตรงนี้ จากนั้นดึงมือของหลินหวั่นชิงไว้แล้วเอ่ยเสียงแผ่ว “หวั่นชิง นี่คือโอกาสของเจ้า ข้าขอแสดงความยินดีด้วย”
ตอนหลินหวั่นชิงถูกขับออกจากตระกูลหลิน สวีจื่อรั่วรู้สึกเสียใจอยู่ไม่น้อย
ถึงอย่างไร พรสวรรค์ของหลินหวั่นชิงก็ไม่ด้อยไปกว่านาง
หากไร้การสนับสนุนจากตระกูลและทรัพยากรไม่เพียงพอ ย่อมเป็นการยากที่หลินหวั่นชิงจะพัฒนาระดับการบำเพ็ญได้

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ย่างก้าวสู่วิถีเซียน