บทที่ 117 มือขลุ่ยชั่วร้าย
ผู้บำเพ็ญมนุษย์หน้ากากสีดำตกตะลึง
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน??
ทั้งที่รู้ว่าศิษย์พี่ของข้าคือมือขลุ่ยชั่วร้าย เหตุใดชายผู้นี้ถึงดูตื่นเต้นนัก?
ไม่รู้หรือว่าศิษย์พี่ของข้าทรงพลังมากถึงขนาดสังหารผู้บำเพ็ญมนุษย์ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับเก้าหลายคนในตระกูลหลินมาแล้ว?
ในความคิดของเขา ศิษย์พี่ของตนอยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับเก้าขั้นกลาง ซึ่งเป็นตัวตนที่ไร้เทียมทาน
“รีบพูดมา!”
สวี่หยางพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา จากนั้นขว้างยันต์ลูกไฟอีกใบออกไปอย่างไม่ลังเล
ตอนนี้ ผู้บำเพ็ญมนุษย์หน้ากากสีดำสับสนทันที
คนรวย วันนี้เขาได้พบคนรวยเข้าแล้ว
นี่เป็นยันต์ลูกไฟระดับสองใบที่สาม
เขาอยากร่ำไห้ คนผู้นี้มียันต์ลูกไฟกี่ใบกันแน่?
แม้จะรู้สึกทุกข์ใจที่ต้องใช้เครื่องรางป้องกันขั้นสูงระดับหนึ่งสองชิ้น แต่น่าเสียดายที่ต้านไว้ได้ไม่นานก่อนจะถูกทำลาย
เขายิ่งหวาดกลัว
เนื่องจากเครื่องรางป้องกันแตกสลายทันที เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถต้านทานยันต์ลูกไฟระดับสองได้
ด้วยเหตุนั้น เปลวไฟจึงแผดเผาร่างกายท่อนบน ไม่ช้าเส้นผมและคิ้วก็ไหม้เกรียม
สวี่หยางมองฉากดังกล่าวจากด้านข้าง เขาไม่รีบร้อนสังหารคนผู้นี้ขณะเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงยียวน “เจ้าหนู ถ้าอยากมีชีวิตรอด ไปเรียกมือขลุ่ยมาแล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
สีหน้าของผู้บำเพ็ญมนุษย์หน้ากากสีดำสั่นสะท้านราวกับได้ยินสิ่งที่เหลือเชื่อ
เขาสับสนเล็กน้อย
ชายผู้นี้เพิ่งเห็นพวกเขาแล้วรีบหลบหนีมาที่นี่ มาตอนนี้กลับบอกให้เขาไปตามศิษย์พี่ ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี
เขาตระหนักได้ว่าผู้บำเพ็ญมนุษย์ทรงพลังตรงหน้าไม่ได้ขลาดกลัว แต่เพียงไม่ชอบสร้างปัญหาให้มากเรื่อง อีกฝ่ายแค่ไม่อยากก้าวก่ายกิจการของผู้อื่น
การจับมือขลุ่ยอาจเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายสนใจ เพราะอย่างนั้นถึงได้ขอให้ติดต่อศิษย์พี่ของเขา
“ได้ ข้าจะเรียกเดี๋ยวนี้ เรียกเดี๋ยวนี้เลย!”
“อ๊าก…”
อึดใจต่อมา ผู้บำเพ็ญมนุษย์หน้ากากสีดำกรีดร้อง เขากุมศีรษะขณะร่างตกลงไปในทะเลอย่างรวดเร็ว
ในระหว่างกระบวนการนี้ สวี่หยางสังเกตเห็นว่าชีวิตของผู้บำเพ็ญมนุษย์หน้ากากสีดำกำลังถูกพรากไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ตกลงไปในทะเล เสียงของเขาก็หายไปสิ้น
สวี่หยางยื่นมือออกไป แล้วคลื่นพลังวิญญาณก็คว้าร่างดังกล่าวเอาไว้ จากนั้นจึงถอดถุงเก็บของและหน้ากากออก
หลังจากตรวจสอบสักพัก สวี่หยางก็พบว่ามีร่องรอยของอักขระในสมองของผู้บำเพ็ญมนุษย์ มันคือข้อห้ามประเภทหนึ่งที่ใช้เพื่อควบคุมผู้คน
หากผู้ถูกควบคุมมีความตั้งใจต่างออกไป ผู้ควบคุมสามารถโจมตีและสังหารอีกฝ่ายได้แม้จะอยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ ซึ่งข้อห้ามจะปลดปล่อยพลังจำนวนมากเข้าสู่มโนสำนึก ไม่ต่างจากคำสั่งตาย
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นวิธีการของมือขลุ่ยชั่วร้าย
ใบหน้าของสวี่หยางเคร่งขรึม มือขลุ่ยชั่วร้ายจะต้องสังเกตเห็นบทสนทนาเมื่อครู่ ดังนั้นเขาจึงยอมเสียเรือเพื่อรักษาขุนโดยไม่เลือกต่อสู้กับเขาซึ่งหน้า
“ช่างเป็นคนฉลาดอะไรเช่นนี้”
สวี่หยางรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่โชคยังดีที่สวมหน้ากากเอาไว้ ดังนั้นมือขลุ่ยจึงไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร
หลังจากครุ่นคิดสักพัก เขาปกปิดกลิ่นอายขณะทะยานสู่ท้องนภา แล้วหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปสักพัก
สวี่หยางกลับไปที่เดิมเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง จากนั้นจึงส่ายหน้า ไม่กลับมาหรือนี่
เขาจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากรออีกหนึ่งก้านธูปมอด ร่างของสวี่หยางปรากฏเหนือทะเลแห่งนี้อีกครั้ง เขาทำการตรวจสอบอีกหน แล้วในที่สุดก็ส่ายหน้าอย่างจนใจ “ฉลาดเกินไป ไม่คิดจะเก็บศพลูกน้องเลยหรือ?”
คราวนี้ สวี่หยางจากไปจริง มุ่งหน้าไปทางเกาะหงเยี่ย
สิ่งที่สวี่หยางไม่สังเกตเห็นก็คือในช่วงรุ่งสาง คนผู้หนึ่งซึ่งอยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสามควบคุมกระบี่เคลื่อนผ่านมาที่นี่
ชายผู้นี้สวมเสื้อคลุมสีม่วงคุณภาพธรรมดาราวกับเป็นเพียงผู้บำเพ็ญมนุษย์ที่ผ่านทางมา
ทว่าหลังจากผู้บำเพ็ญมนุษย์ผ่านที่นี่ เขาก็รีบกลับมาจนมาถึงบริเวณซึ่งมีศพกองเป็นจำนวนมาก
แม้กลิ่นอายของผู้บำเพ็ญมนุษย์จะอ่อนแอ แต่สายตาของเขาคมปลาบและเย็นชา มีกลิ่นอายกระหายเลือดแผ่ซ่านออกมาจากกาย
เพียงใช้ความคิด ผู้บำเพ็ญมนุษย์ก็สร้างผนึกขึ้นด้วยมือ จากนั้นหยิบขลุ่ยหยกดำออกมาชิดที่ปากแล้วทำการเป่า
เสียงดนตรีก่อตัวเป็นเส้นขณะพุ่งเข้าไปในน้ำทะเลด้วยความเร็วมหาศาล
ไม่ช้า ศพไม่สมประกอบหลายร่างที่จมลงสู่ก้นทะเลก็ได้รับการช่วยเหลือทั้งหมด แล้วอักขระซึ่งอยู่ในสมองก็ถูกดึงออกมาปรากฏตรงหน้า
ภายในอักขระดังกล่าว ฉากก่อนตายของผู้บำเพ็ญมนุษย์เหล่านี้ก็ปรากฏ
เมื่อฉากสิ้นสุดลง ดวงตาของผู้บำเพ็ญมนุษย์ก็เผยความประหลาดใจ
“โชคยังดีที่ข้าระวังจนไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม ไม่อย่างนั้น ข้าอาจจะตายน้ำตื้นด้วยอุบายของผู้บำเพ็ญมนุษย์ลึกลับคนนั้นแล้ว”
มือขลุ่ยพึมพำ เขาคิดมาตลอดว่าด้วยการบำเพ็ญที่จุดสูงสุดของขอบเขตกลั่นลมปราณก็มากพอจะเป็นรากฐานจนแทบจะทำให้ไร้เทียมทานได้
คงมีเพียงศิษย์สำนักใหญ่เหล่านั้นที่เขาอาจจะไม่ใช่คู่มือ
คาดไม่ถึงว่าจะได้พบกับยอดฝีมือที่นี่
“หรือตระกูลหลินจ้างมา?”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็แค่นเสียงเย็นขณะโยนเรือเหาะออกมา กลิ่นอายของขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสามในร่างกายพลันกลับสู่จุดสูงสุดของขอบเขตกลั่นลมปราณระดับเก้า
“ถ้าแบบนี้ ในอนาคตข้าก็ต้องทำตัวไม่ให้โดดเด่น หลังจากสร้างรากฐานเสร็จเมื่อไหร่ ตระกูลหลิน หลินหวั่นชิง เจ้ารอก่อนเถอะ”
ฟ่าว!
เรือเหาะทิ้งภาพติดตาเอาไว้ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว
…
ในตอนเช้า แสงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วเกาะหงเยี่ย ร้านค้าส่วนใหญ่พากันเปิดประตูเพื่อต้อนรับลูกค้ากลุ่มแรก
สวี่หยางตื่นแต่เช้าขณะตรวจสอบของที่ได้มาเมื่อคืนนี้กับภรรยาทั้งสอง
หลังจากกลับมาเมื่อคืน สวี่หยางพบว่าภรรยาตื่นรออยู่ก่อนแล้ว ทำเอาเขารู้สึกตื้นตันในใจนัก
หลังจากนั้น เขาก็เข้านอนเร็วด้วยความเหนื่อยล้า
ไม่สิ เขาไม่ได้ลุกจากเตียงจนกระทั่งตะวันโด่งฟ้า


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ย่างก้าวสู่วิถีเซียน