ตอนที่ 14 ประจบสามีก็เหมือนประจบนาง
“สามี เมื่อครู่ช่างอันตรายยิ่ง เจ้าก็เห็นแล้วว่าโจวปัวลงมือโดยไม่พูดจา หากเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา…”
เมื่อกลับถึงบ้าน หลินอวี้ยิ่งเอ่ยก็ยิ่งหวาดกลัว
เมื่อครู่นางได้เห็นเหตุการณ์ต่อสู้นั้นเต็มสองตา
กระบี่ของโจวปัวทะยานเข้าหาสวี่หยางราวกับมีชีวิต แม้สุดท้ายสามีของนางจะปลอดภัย แต่ก็ยังรู้สึกตื่นตระหนกอยู่พักหนึ่ง
หลินอวี้เดินต่อไปสักพัก ในที่สุดก็เอ่ยขึ้น “สามี ข้าคิดว่าจางเถี่ยมีความสามารถค่อนข้างมาก พี่เหอเคยเล่าให้ฟังว่าก่อนหน้านี้เขาเชิญให้เข้าร่วมหน่วยลาดตระเวน แต่เจ้าปฏิเสธงั้นหรือ?”
สวี่หยางเข้าใจความหมายที่หลินอวี้จะสื่อ ตอนนี้จางเถี่ยกลายเป็นทายาทต่างสกุลของตระกูลสวีแล้ว สถานะในภายภาคหน้าย่อมต่างออกไป นอกจากค่าเช่าไม่ต้องจ่ายแล้วยังได้เงินเดือนด้วย!
ใครเล่าจะไม่อยากได้งานที่ดีเช่นนี้?
เพราะอย่างนั้น หลินอวี้จึงคิดว่าหากเข้าร่วมหน่วยลาดตระเวน เขาอาจจะได้ของดีแบบนี้เหมือนกัน แล้วชีวิตของพวกเขาก็จะดีขึ้น
“อะไร เจ้าอยากให้ข้าติดตามจางเถี่ยหรือ?”
“ข้าไม่ได้หมายความว่าต้องติดตามเขาเสียหน่อย ความสามารถของเจ้าก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน ข้าเพียงคิดว่าหากให้เขาช่วยพูดหน่อยก็อาจจะพาเข้าตระกูลสวีได้…”
ถึงอย่างไร หลินอวี้ก็เหมือนผู้หญิงคนอื่นที่ต้องการชีวิตที่มั่นคง เพราะชีวิตที่ทำนาหลังสู้ฟ้าไม่สามารถวางใจได้นัก
โดยเฉพาะค่าเช่าซึ่งเปรียบเสมือนภูเขาลูกใหญ่ที่กดทับจนแทบหายใจไม่ออก
“แม้เงื่อนไขการเข้าตระกูลสวีจะมีแต่ผลดี แต่พวกเขามักมีภารกิจให้ทำ ผู้ดูแลที่นี่คนก่อนก็ไปตายข้างนอกไม่ใช่หรือ? ทำนาอย่างสงบสุขดีกว่า เคล็ดปลูกถ่ายวิญญาณของข้าก็ทรงพลังมากพอที่จะทำให้กินดื่มได้อย่างไร้กังวล”
สวี่หยางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ก็จริง” หลินอวี้พยักหน้าเมื่อรู้สึกว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวมาคือความจริง
แม้เงื่อนไขที่ตระกูลสวีมอบให้จะดีเพียงใด แต่มันมีราคาที่ต้องจ่าย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกโล่งอก “สามี ถ้าอย่างนั้นเจ้าไปพักก่อน ข้าจะไปทำอาหารมาให้”
“อื้ม ฝากตุ๋นเนื้อหมูป่าด้วย”
“ได้ เจ้าชอบกินกีบหมูสินะ เดี๋ยวข้าจะตุ๋นเพิ่มให้”
เมื่อกลับมาถึงบ้าน สวี่หยางก็จิบชา ทำให้หัวใจที่วิตกกังวลสงบลงทีละน้อย
เขานึกถึงการต่อสู้เมื่อครู่ สวี่หยางพลันตระหนักได้ว่าตนเองแข็งแกร่งขึ้นจริง
โจวปัวซึ่งเป็นโจรย่อมมีประสบการณ์ในการต่อสู้ค่อนข้างมาก แม้จะมีพลังอยู่ที่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสี่ แต่ก็ไร้ทางขัดขืนและตายตกด้วยน้ำมือของเขา
“ด้วยความแข็งแกร่งตอนนี้ ทำให้ข้าสามารถปักหลักอยู่ที่นี่ได้ แต่คงต้องพยายามบรรลุขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสี่โดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้เข้าสู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นกลาง”
ขั้นต้นของขอบเขตกลั่นลมปราณอยู่ที่ระดับหนึ่งถึงสาม ส่วนระดับสี่ถึงหกคือขั้นกลาง
ช่องว่างระหว่างขั้นต้นกับขั้นกลางมีค่อนข้างมาก อย่างแรกคือความเข้มข้นของปราณวิญญาณซึ่งไม่สามารถสรุปได้โดยง่าย
ยกตัวอย่างเช่นตอนที่รับมือกับโจวปัว ในแง่ของความแข็งแกร่งของปราณวิญญาณ อีกฝ่ายย่อมมีชัยเหนือกว่า
แต่ชัยชนะของเขามาจากการไปถึงขั้นสมบูรณ์ในวิชายุทธ์ ทำให้สามารถสังหารอีกฝ่ายได้
ราวกับเขาและโจวปัวเปรียบได้กับเด็กและผู้ใหญ่
แต่ชายหนุ่มที่เป็นเด็กกลับมีปืน ไม่ว่าโจวปัวที่เป็นผู้ใหญ่จะทรงพลังแค่ไหนก็ไม่สามารถเอาชนะปืนได้
ผ่านไปสักพักก็มีคนมาเคาะประตู
เป็นเพื่อนบ้านหญิงที่อยู่ละแวกเดียวกัน นางถือตะกร้าซึ่งเต็มไปด้วยผักป่าที่มีกลิ่นอายบางอย่าง
“สหายเต๋าสวี่ ข้าเพิ่งเก็บผักป่าในทุ่งมาได้ แต่เนื่องจากไม่สามารถกินมันทั้งหมดได้ เลยเอาบางส่วนมาแบ่งให้พวกเจ้า” เพื่อนบ้านหญิงมีร่างกายท้วม ปกตินางไม่ค่อยสนทนากับสวี่หยางและมีท่าทีเย็นชาไม่แยแส แต่ตอนนี้กลับยิ้มแย้มแจ่มใส
“ไม่ต้องหรอก ข้าเกรงใจ” สวี่หยางปฏิเสธอย่างสุภาพ
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พวกเราเป็นเพื่อนบ้านกันมาก็หลายปี อย่างไรภายภาคหน้าก็ต้องไปมาหาสู่กันบ่อยครั้งอยู่แล้ว”
เพื่อนบ้านหญิงยิ้มขณะยัดผักป่าใส่มือเขาอย่างแข็งขัน
ทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?
ผ่านไปสักพัก เพื่อนบ้านอีกคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ไกลเล็กน้อยก็มาหาพร้อมกับนำปลาเค็มบางส่วนมาให้
หลังจากไปแล้ว เพื่อนบ้านชายอีกคนก็มาพร้อมกับนำเนื้อหมักชิ้นหนึ่งมาให้
“สามี พวกเขาพยายามประจบเจ้า”
หลินอวี้หัวเราะร่วนขณะรับประทานอาหาร ตอนนี้นางรู้สึกภูมิใจที่ผู้ชายของตนมีความสามารถจนผู้คนทั้งหลายเข้ามาประจบไม่หยุด
การประจบสามีก็เหมือนประจบนาง
สวี่หยางคาดเดาความตั้งใจของเพื่อนบ้านได้อย่างรางเลือน
วันนี้เขาได้แสดงความแข็งแกร่ง โดยการเอาชนะโจวปัวได้สำเร็จ
ดังนั้นเพื่อนบ้านจึงพากันประจบสวี่หยางโดยหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากเขาในภายภาคหน้า
เขาไม่ได้คิดมากขณะแทะกีบหมู
ทักษะการทำอาหารของหลินอวี้ค่อนข้างดี ทั้งสีสันและกลิ่นล้วนน่ารับประทาน ส่วนกีบหมูตุ๋นก็มีเนื้อเยอะแต่ไม่มันเยิ้ม หลังจากกินจนอิ่มแล้ว เขาก็ใช้พลังวิญญาณเพื่อเตรียมฝึกตนสักพัก
ในยามนี้ จางเถี่ยเดินมาที่ประตู สวี่หยางจึงรีบออกไปทักทาย
“พี่สวี่ ข้าได้กลิ่นหอมจากบ้านเจ้าลอยมาแต่ไกลเลย หวังว่าคงไม่เป็นการรบกวนมื้ออาหารนะ?”
จางเถี่ยทักทายพร้อมรอยยิ้มสุภาพ
พูดตามตรง ก่อนหน้านี้เขาไม่สนใจสวี่หยางมากนัก ในตอนนั้นที่เชื้อเชิญอีกฝ่ายให้เข้าหน่วยลาดตระเวนก็เพราะอยากสั่งสมกำลังคนเพื่อทำให้มีอำนาจมากขึ้น
ถึงอย่างไร เขาก็เป็นเพียงผู้ปลูกถ่ายวิญญาณ หากมีความสามารถจริง มีหรือจะแต่งงานกับมนุษย์?
แต่วันนี้ ฉากที่สวี่หยางจัดการกับโจวปัวทำให้เข้าใจว่าเขาคิดผิด
ถึงอย่างไร เขาก็อยู่ที่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับห้า กอปรกับเคยต่อสู้กับโจวปัวมาก่อน จึงทราบว่าอีกฝ่ายรับมือยากแค่ไหน เพราะโจวปัวฝึกฝนเคล็ดควบคุมกระบี่และมีไหวพริบมาก จึงยากจะปัดป้องการโจมตีและเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายหลบหนีไปได้
แต่คาดไม่ถึงว่าพอสวี่หยางลงมือ โจวปัวจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำจนเขาสามารถไล่ตามมาทันได้



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ย่างก้าวสู่วิถีเซียน