ตอนที่ 20 จดหมายอีกฉบับจากหวงเสี่ยวเหมย
เพื่อให้แน่ใจว่าหวงเสี่ยวไฉจะไม่สร้างปัญหาอีก สวี่หยางจึงตัดสินใจส่งจดหมายอธิบายสถานการณ์แก่หวงเสี่ยวเหมยล่วงหน้า
ในจดหมาย เขาบรรยายเหตุการณ์ในวันนี้อย่างละเอียด แล้วในที่สุดก็กล่าวถึงตัวเองว่าตอนนี้อยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสี่และมีความสำเร็จในเคล็ดปลูกถ่ายวิญญาณ
เขาในตอนนี้เป็นผู้ปลูกถ่ายวิญญาณขั้นสูงระดับหนึ่งซึ่งคาดว่าใกล้จะเข้าสู่ระดับสองในเร็ว ๆ นี้
ครั้งหน้าเมื่อนางกลับมา เขาจะเตรียมของขวัญบางส่วนเพื่อขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือเรื่องยารักษาในคราวที่แล้ว
สวี่หยางอยากใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ของหวงเสี่ยวเหมยมานานแล้ว ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็อยู่ในสำนักและอาจสามารถให้การช่วยเหลือเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นในภายภาคหน้า
นอกจากนี้ การสร้างความสัมพันธ์อันดีกับนางถือเป็นการลงทุนล่วงหน้า หากหวงเสี่ยวเหมยสร้างรากฐานโดยไม่ตั้งใจขึ้นมาจะเป็นอย่างไร?
คืนนั้นเขาไปที่ศาลาพักม้าบนถนนสายนี้แล้วใช้เศษหินวิญญาณสามสิบก้อนเพื่อส่งจดหมาย
ศาลาพักม้าแห่งนี้ใช้นกพิราบวิญญาณในการส่งจดหมาย ซึ่งหลังจากส่งไปยังสถานที่ที่กำหนดแล้ว เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นก็จะส่งจดหมายให้
ราคาไม่นับว่าแพงหรือถูกเกินไป
…
สามวันต่อมา
สำนักชิงหยางตั้งอยู่ใจกลางของโลกเซียนในแดนเหนือ โดยมีบรรพชนปราณก่อกำเนิดสถิตอยู่ในสำนักร่วมกับศิษย์อีกนับแสน ทำให้สำนักแห่งนี้เป็นสำนักชั้นนำของใต้หล้า
ผู้ที่สามารถแข่งขันกับสำนักชิงหยางได้ คือสำนักหยางพิสุทธิ์ปราณกระจ่างกับตระกูลถังซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเซียน
สองกองกำลังใหญ่นี้ยังมีบรรพชนปราณก่อกำเนิดคอยดูแล โดยเฉพาะตระกูลถังซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่มีประชากรหลายล้านคน แต่แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นมนุษย์
สามกองกำลังใหญ่ตั้งอยู่ในทิศทางที่แตกต่างกัน พวกเขาทั้งแข่งขัน ร่วมมือและไม่รบกวนซึ่งกันและกัน ทำให้โลกเซียนแดนเหนือสงบสุขยิ่ง
ในวันนี้ ท้องนภาทางฝั่งของสำนักชิงหยางมีฝนโปรยปราย
ผู้หญิงสวมชุดสีเขียวผมยาวสลวยกำลังวางแผนจะไปที่ลานฝึกวิชายุทธ์เพื่อฟังการบรรยายของผู้อาวุโส
นางคือหวงเสี่ยวเหมย
“ศิษย์น้องเสี่ยวเหมย ศิษย์น้องเสี่ยวเหมย”
หวงเสี่ยวเหมยตกตะลึงที่ถูกใครบางคนทัก เธอหันกลับไปมองก่อนจะพบว่าเป็นศิษย์พี่
“ศิษย์พี่หญิง”
“ศิษย์น้องเสี่ยวเหมย คนจากศาลาพักม้าที่ด้านล่างภูเขาเพิ่งมาส่งจดหมาย เป็นของเจ้าสองฉบับ”
“สองฉบับหรือ?”
หวงเสี่ยวเหมยประหลาดใจ นางไม่ค่อยมีคนรู้จักในบ้านเกิดเท่าไร จึงเป็นไปได้ว่าสมาชิกครอบครัวของตนจะเป็นคนส่งจดหมายมา
นางขอบคุณอีกฝ่ายก่อนจะหยิบจดหมายขึ้นมาอ่านขณะก้าวเดิน
สวี่หยางกับครอบครัวของนางเป็นผู้ส่งจดหมายมาหา
จดหมายจากครอบครัวเขียนโดยหวงเสี่ยวไฉผู้เป็นน้องชาย เขาพูดถึงความขัดแย้งระหว่างตนกับสวี่หยาง และแน่นอนว่ามีการกล่าวเกินจริงพร้อมโยนความผิดให้คู่กรณี
เขาปิดท้ายด้วยการบอกว่าถูกตบหน้า ทำให้พ่อแม่โกรธไม่พอ แม้แต่ผู้เป็นภรรยาก็ไม่เว้น ซึ่งเขาหวังว่าพี่สาวจะทวงคืนความยุติธรรมแก่เขา
ทั้งยังกล่าวเสริมอีกว่า หากเป็นไปได้ก็อยากให้ส่งโอสถเติมวิญญาณอีกแปดถึงสิบเม็ดเพื่อช่วยในการทะลวงขั้น แบบนี้การฝึกตนของเขาจะอยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสี่และไม่ต้องหวาดกลัวสวี่หยางอีก
หวงเสี่ยวเหมยคิ้วขมวด “เจ้าคิดว่าโอสถเติมวิญญาณเป็นกะหล่ำปลีที่เอาออกมาได้ตามใจหรืออย่างไร?”
นางจนปัญญากับคำขอของน้องชาย
“แต่น้องชายมีความขัดแย้งกับสวี่หยางได้อย่างไร เรื่องมันไม่น่ามีแค่นั้น”
นางทราบถึงนิสัยของน้องชายก่อนจะรู้สึกว่าเรื่องราวมันไม่ง่ายเหมือนอย่างที่อีกฝ่ายบอก
สวี่หยางอาจมีนิสัยขี้ขลาด แต่เขาไม่ใช่คนประเภทที่ไร้เหตุผลอย่างแน่นอน หาไม่แล้วนางคงไม่ตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น
นางลอบถอนหายใจเมื่อคิดถึงตรงนี้
ครั้งหนึ่ง นางกับสวี่หยางเคยทำงานในทุ่งนาด้วยกัน เมื่อเวลาผ่านไป นางก็มีความหลงใหลต่อเขาเป็นพิเศษก่อนจะทราบว่ามันคือความรัก!
นางเคยอยากอยู่กับสวี่หยางมาก่อน
จนกระทั่งครอบครัวบังคับให้นางเข้าร่วมการทดสอบพรสวรรค์ของสำนักชิงหยางก่อนจะได้รับคัดเลือกโดยบังเอิญ
ถึงกระนั้นนางก็อยากอยู่กับสวี่หยาง
แต่หลังจากนั้นพ่อแม่ก็คุยกับนางมากขึ้น ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดคือความหวังของทั้งครอบครัวตกอยู่กับนาง
เพื่อให้ลูกสาวได้เข้าร่วมการทดสอบ พ่อแม่จึงนำเงินเก็บทั้งหมดที่สั่งสมมาหลายปีมาใช้ พวกเขาไม่เต็มใจที่จะซื้อยาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บให้ตนเอง แต่เลือกที่จะซื้อสมุนไพรเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับหญิงสาว
ถ้านางตัดใจกลางคันแล้วไปแต่งงานกับผู้ปลูกถ่ายวิญญาณ พ่อแม่คงบอกให้ไปฆ่าตัวตายเป็นแน่!
ด้วยเหตุนี้ นางจึงทำได้เพียงจากสวี่หยางมาโดยไม่ได้บอกลา
ทว่าแม้จะต้องแยกทางกัน แต่ความรู้สึกก็ยังคงอยู่
ดังนั้นนางจึงส่งจดหมายถึงสวี่หยางเป็นครั้งคราว รวมถึงส่งยารักษาให้
จากนั้นนางก็เปิดจดหมายของสวี่หยาง
เมื่ออ่านจบแล้วก็รู้ทันทีว่าเป็นเรื่องจริง
หวงเสี่ยวเหมยยิ่งเดือดดาลหลังจากสวี่หยางเล่าเรื่องจริงให้ทราบผ่านจดหมาย น้องชายของตนรังแกผู้อื่นไม่พอ ยังใช้ชื่อนางไปข่มขู่อีกฝ่าย ช่างเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจอะไรอย่างนี้!
โชคยังดีที่สวี่หยางไม่ไว้หน้าน้องชายของนาง ทั้งการฝึกตนของเขายังไปถึงขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสี่
“หลังจากแต่งภรรยาแล้ว การพัฒนาของเขาดูจะราบรื่นขึ้นไม่น้อย”
หวงเสี่ยวเหมยเขียนจดหมายก่อนจะวางแผนส่งให้สวี่หยางทีหลัง
จดหมายยังพูดถึงสถานการณ์บางอย่างที่นั่นด้วย
…
ผ่านไปอีกสามวัน
สวี่หยางได้รับจดหมายจากหวงเสี่ยวเหมย
แน่นอนว่าเรื่องราวเป็นไปอย่างที่คาดเดาไว้ หวงเสี่ยวเหมยไม่เพียงไม่ตำหนิเขาที่ตบตีน้องชายเท่านั้น แต่ยังชื่นชมกับการกระทำดังกล่าวและหวังว่าจะกระตุ้นให้น้องชายไม่กระทำการบุ่มบ่ามโดยแอบอ้างชื่อของนาง
นอกจากนี้หวงเสี่ยวเหมยยังเล่าเกี่ยวกับสถานการณ์ที่นี่ นางทราบมาว่า แม้จักรพรรดิสัตว์ร้ายตระกูลโจวจะเสียการควบคุมทะเลสาบพานหยางไป แต่พวกเขาก็ไม่ยอมจำนน แล้วเมื่อไม่นานมานี้ยังได้เข้าร่วมกองกำลังกับกลุ่มเจ็ดคาบสมุทรจนอาจจะสร้างปัญหาให้กับตระกูลสวีด้วย
ด้วยวิธีนี้ พวกเขาหวังที่จะลดทอนพลังต่อสู้ของตระกูลสวีทางฝั่งทะเลสาบพานหยาง เพื่อมอบโอกาสให้แก่จักรพรรดิสัตว์ร้ายตระกูลโจว
หมายความว่าอาจจะมีความโกลาหลเกิดขึ้นกับเมืองฟางของตระกูลสวี ดังนั้นเขาต้องระวังเอาไว้
กลุ่มเจ็ดคาบสมุทรคือกลุ่มขนาดใหญ่ ถึงจะบอกว่าเป็นกลุ่ม แต่มันคล้ายกับรูปแบบของหอการค้าเสียมากกว่า พวกเขาประกอบธุรกิจในหลายสถานที่พร้อมกับรวบรวมอันธพาลไว้
เพราะฐานที่มั่นลึกลับ ทำให้มีไม่กี่กองกำลังที่สามารถสร้างปัญหาให้พวกเขาได้ ส่งผลให้อีกฝ่ายทำตัวอวดดียิ่งในโลกภายนอก
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ย่างก้าวสู่วิถีเซียน