ตอนที่ 3 โลกเซียนช่างโหดร้าย
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าถึงปีนี้พวกเราจะเก็บเกี่ยวได้มาก แต่ตระกูลสวีกลับบอกว่าอาจจะขึ้นค่าเช่าที่ดินอีกสามส่วน! ทั้งยังมีการเก็บล่วงหน้าด้วย”
“ว่าไงนะ ต่อให้ปีนี้พวกเราจะเก็บเกี่ยวได้ดี แต่ก็ไม่ได้มีจำนวนมากขนาดนั้นหรอกนะ อีกทั้งช่วงนี้ก็มีศัตรูพืชระบาด หลายคนสูญเสียเงินไปมากมายเลยนะ”
“ช่วยไม่ได้ ตระกูลสวีกับจักรพรรดิสัตว์ร้ายตระกูลโจวอาจกำลังต่อสู้เพื่อแย่งแหล่งจับปลา ทำให้พวกเขาใช้ข้ออ้างนี้ในการรีดไถหินวิญญาณเพื่อซ่องสุมกำลังพลก็ได้”
“นี่ ทำไมพวกเขาถึงต้องทะเลาะกันด้วย ไม่รู้หรือไงว่ามันทำให้พวกเราลำบาก”
“ทุกคนต่างทราบอยู่แล้วว่าความสัมพันธ์ของจักรพรรดิสัตว์ร้ายตระกูลโจวกับตระกูลสวีไม่สู้ดี ด้วยเหตุนี้จึงมีการเตรียมหินวิญญาณเพื่อจ่ายค่าเช่า ซึ่งแคว้นตะวันออกได้เรียกเก็บค่าเช่าที่ดินล่วงหน้าแล้ว ข้ายังได้ยินมาว่ามีหลายครอบครัวที่จ่ายไม่ไหวจนถึงขั้นถูกขับออกจากเมือง!”
“โหดเหี้ยมยิ่งนัก พวกเราผู้มีขอบเขตการฝึกตนต่ำย่อมไม่สามารถมีชีวิตรอดได้ แล้วข้างนอกนั่นก็ยังมีสัตว์อสูรกับโจรอยู่เต็มไปหมด…”
“จริงหรือเนี่ย เฮ้อ ไม่คิดจะเหลือทางรอดให้คนอื่นเลยหรือ”
ที่แผงขายของแห่งหนึ่ง สวี่หยางรู้สึกวิตกขณะฟังบทสนทนาของผู้บำเพ็ญที่อยู่รอบข้าง
น่าแปลกที่มีการเรียกเก็บค่าเช่าที่ดินล่วงหน้า
แม้ว่าบ้านของเขาจะเป็นมรดกที่ตกทอดมาจากครอบครัว แต่ที่ดินก็ยังต้องเช่า หากไม่สามารถจ่ายค่าเช่าได้ ตามกฎของตระกูลสวีแล้ว แม้แต่บ้านก็ต้องถูกยึด
ค่าเช่าที่ดินหนึ่งหมู่ต่อปีอยู่ที่หินวิญญาณสิบก้อน ส่วนเขามีที่ดินสองหมู่ หากราคาเพิ่มขึ้นสามส่วน หมายความว่าต้องจ่ายหินวิญญาณถึงยี่สิบหกก้อน!
ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น หากต้องจ่ายทั้งค่าเช่าและซื้อค่ายกลป้องกัน หินวิญญาณในมือย่อมไม่เพียงพอ!
ระหว่างทางกลับบ้าน เขาเห็นผู้ปลูกถ่ายวิญญาณหลายคนโชกไปด้วยเหงื่อ บ้างกำลังซื้อยาฆ่าแมลง บ้างก็ขอให้ยอดฝีมือที่รู้จักกันช่วยกำจัดแมลงให้
เมื่อเดินผ่านบ้านของเหล่าหวัง เขาก็พบหลานชายกับสหายอีกสองคนกำลังร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในบ้าน
เหล่าหวังและภรรยามนุษย์อาศัยอยู่ที่นี่มาหลายสิบปีโดยไม่มีทายาท ดังนั้นบ้านหลังนี้จึงตกทอดมาสู่หลานชาย แน่นอนว่าหญ้าหลิงซวีซึ่งอยู่ในที่ดินก็กลายเป็นของเขาเช่นกัน
…
ไม่ช้าสวี่หยางก็มาถึงทางเข้าจวนสูงตระหง่าน
ที่นี่คือเรือนของนักเล่นแร่แปรธาตุที่ขายยาฆ่าแมลง
แม้คะแนนพิเศษในตอนนี้จะสามารถทำให้ต้นวิญญาณเติบโตได้ แต่หนอนผีเสื้อวิญญาณก็ยังคงต้องได้รับการแก้ไข หาไม่แล้วเมล็ดวิญญาณจะถูกพวกมันกัดกินในการปลูกครั้งต่อไป
หากไปร้านใหญ่ก็ต้องซื้อยาฆ่าแมลงในราคาแพง
ถึงอย่างไรเขาก็เคยซื้อจากที่นี่มาก่อน เนื่องจากผลของมันใกล้เคียงกับที่ขายในร้านใหญ่ เพียงแต่บางครั้งมันก็ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน
แต่นักเล่นแร่แปรธาตุกับเขา รวมถึงชาวบ้านกว่าครึ่งนับว่าเป็นเพื่อนบ้าน ทำให้ไม่ขาดแคลนสินค้าเงินทอง ต่างฝ่ายต่างไม่หลอกลวงกัน
ประตูเปิดอยู่ก่อนแล้ว ภายในลานบ้านมีพี่น้องคู่หนึ่งยืนอยู่ พวกเขามีร่างสูงใหญ่ เสื้อผ้าที่ใส่เป็นชุดคลุมราคาแพงซึ่งมีผลในการป้องกัน ทนน้ำทนไฟ
นักเล่นแร่แปรธาตุไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพี่ชาย ส่วนน้องสาวของเขาเป็นผู้ช่วย ซึ่งทั้งสองมีกลิ่นหอมของยาอบอวลทั่วกาย
พวกเขาต่างเป็นผู้บำเพ็ญมนุษย์ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับเจ็ด นับว่าเป็นหนึ่งในยอดฝีมือสูงสุดในพื้นที่นี้
เมื่อเห็นสวี่หยางเข้ามา ใบหน้าของทั้งสองก็สงบจนดูเย็นชา
สวี่หยางเห็นจนชินตาแล้ว ถึงอย่างไรสองคนนี้ก็เป็นยอดฝีมือขอบเขตกลั่นลมปราณระดับเจ็ด ส่วนเขาเป็นเพียงผู้บำเพ็ญมนุษย์ระดับต่ำที่ไม่แม้แต่จะสามารถสบตาอีกฝ่ายได้
นับว่าดีแค่ไหนแล้วที่อีกฝ่ายมีของพอที่จะขายให้เขา
สวี่หยางเดินเข้ามาแล้วเอ่ยด้วยความสุภาพ “ผู้อาวุโสเกาหยวน”
“อืม สหายเต๋าสวี่ เจ้าต้องการซื้อยาฆ่าแมลงอย่างนั้นหรือ?” เกาหยวนเงยหน้าทักทายสวี่หยางพร้อมกล่าวถึงจุดประสงค์การมาของอีกฝ่ายทันที
สวี่หยางพยักหน้าเล็กน้อย “ผู้อาวุโสทราบด้วยหรือขอรับ?”
“อื้ม เมื่อเช้านี้มีผู้ปลูกถ่ายวิญญาณที่เหมือนกับเจ้าหลายคนบอกว่ามีแมลงรบกวน พวกเขาจึงมาหาข้าเพื่อซื้อน้ำยาฆ่าแมลง”
ขณะเอ่ย น้องสาวของเกาหยวนก็หยิบขวดยาออกมาแล้วมองไปทางสวี่หยาง “หินวิญญาณสี่ก้อน”
สวี่หยาง “…”
“แค่ก ๆ ก่อนหน้านี้ราคาหนึ่งขวดอยู่ที่หินวิญญาณสามก้อนไม่ใช่หรือ?” สวี่หยางหัวเราะแห้ง
“ช่วงนี้ราคาวัตถุดิบขึ้นน่ะ” เกาหยวนอธิบายอย่างใจเย็นราวกับไม่สนว่าอีกฝ่ายจะซื้อหรือไม่
น้องสาวของเกาหยวนเอ่ยว่า “ที่บ้านพวกข้าก็เหลือเพียงไม่กี่ขวดแล้ว หากเจ้าไม่ซื้อ เดี๋ยวก็โดนคนอื่นมาซื้อจนหมดหรอก!”
เมื่อไม่มีทางเลือก สวี่หยางจึงทำได้เพียงกลั้นใจหยิบหินวิญญาณสี่ก้อนออกมา
บัดนี้เขาไม่เหลือเงินติดตัวแล้ว!
…
ทางเข้ากระท่อมปิดสนิท
หลินอวี้ขยับสะโพกเล็กน้อยยามใช้ขวานตัดฟืนในลานบ้าน ทำให้ศีรษะของนางเต็มไปด้วยเหงื่อเพราะความเหนื่อยล้า
หลังจากสวี่หยางออกไป หลินอวี้ก็ไม่ทราบว่าจะทำอะไร แต่ในอดีตผู้เป็นพ่อเคยบอกว่าหากแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว นางต้องเริ่มหางานและขยันขันแข็งให้มากเพื่อที่ครอบครัวฝั่งสามีจะได้มีความสุขและปฏิบัติต่อตนเป็นอย่างดี
ดังนั้นเมื่อเห็นฟืนกองอยู่ในลานบ้าน นางก็เริ่มผ่าพวกมัน
แต่นางในฐานะมนุษย์ยังไม่เคยฝึกวิชายุทธ์ ร่างกายจึงอ่อนแอมาก ดังนั้นหลังจากผ่าฝืนไปได้เพียงชั่วครู่ก็หมดแรง บนมือเล็กทั้งสองเริ่มปรากฏรอยแตก
ก๊อก ๆ! ก๊อก ๆ! ก๊อก ๆ ๆ!!!
นางรีบหันไปทันทีที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น และทราบว่าคนที่เคาะประตูจะต้องเป็นสวี่หยางแน่นอน เพราะเมื่อคืนอีกฝ่ายบอกว่าช่วงนี้นอกเมืองค่อนข้างอันตราย หากกลับถึงบ้านจะเคาะประตูสั้นสองครั้งและยาวหนึ่งครั้งเพื่อเป็นการสื่อว่าเขากลับมาแล้ว
หากผิดไปจากนี้อย่าได้เปิดประตูเป็นอันขาด
ด้วยค่ายกลป้องกันอันเรียบง่ายในลานบ้าน ขอเพียงนางไม่เปิดประตู ผู้บำเพ็ญมนุษย์ระดับต่ำก็ไม่สามารถทำอันตรายได้
นางรีบเปิดประตูก่อนจะพบใบหน้าอันคุ้นเคย จึงเผยรอยยิ้มผ่อนคลายขณะที่ใบหน้าสะสวยเต็มไปด้วยความยินดี “สามี เจ้ากลับมาแล้ว”
นางรับของในมือสวี่หยางก่อนจะปิดประตูแล้วสวมกอดอีกฝ่าย
“เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อเห็นพฤติกรรมที่แปลกประหลาดของภรรยา สวี่หยางจึงลูบหลังของนางแผ่วเบา
“ตอนข้าอยู่ที่ประตูได้ยินเสียงคนเดินผ่านมาบอกว่ามีโจรฆ่ายกครัวอยู่ที่นี่ ข้าก็เลยกลัวน่ะ”
“ไม่ต้องห่วง ข้าอยู่นี่แล้ว คนที่ตายคือครอบครัวของเหล่าหวัง ค่ายกลป้องกันของครอบครัวเขาเพิ่งพังไปได้ไม่นาน ส่วนของพวกเรายังไม่พัง”
หลินอวี้ผละออกจากอ้อมแขนอีกฝ่ายเมื่อได้ยินเช่นนี้ ก่อนจะเอ่ยอย่างแผ่วเบา “โล่งอกไปที แล้วเจ้าซื้ออะไรมาบ้างหรือ?”
“ข้าซื้อข้าววิญญาณกับไก่วิญญาณมาเพื่อเติมเต็มพลังงานให้เจ้าโดยเฉพาะ!”
ไก่วิญญาณสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้กับผู้ที่กินมันเข้าไปได้
“งั้นเดี๋ยวข้าทำอาหารให้” หลินอวี้แย้มยิ้มและเตรียมที่จะจากไป
“เดี๋ยวนะ เจ้าเพิ่งไปผ่าฟืนมาหรือ?”
เขาเหลือบมองฟืนบนพื้น จากนั้นก็มองมือเล็กที่มีรอยแตกของหลินอวี้
“ข้าไม่มีอะไรทำก็เลยอยากช่วยแบ่งเบาภาระให้เจ้า”
“หลังจากนี้อย่าทำงานหนักอีก ส่วนอันนี้ของเจ้า”
สวี่หยางหยิบหนังสือวิชายุทธ์ออกมา “วิชายุทธ์นี้มีผลในการเสริมกำลังและหล่อเลี้ยงร่างกาย มันเป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถฝึกฝนได้ หากเจ้าฝึกฝนวิชานี้ ร่างกายและกระดูกจะต้องดีขึ้นจนสามารถให้กำเนิดลูกชายอ้วนจ้ำม่ำได้แน่นอน”
“ขอบคุณนะ”
หลินอวี้รับหนังสือวิชายุทธ์มาอ่านด้วยความรู้สึกยินดี เพราะร่างกายอ่อนแอจึงทำให้นางวิตกมาตลอด ต่อให้ภายภาคหน้าจะมีทายาท ก็กลัวว่าลูกที่เกิดมาจะมีร่างกายอ่อนแอไม่ต่างกัน
บัดนี้นางมีวิชายุทธ์อยู่กับตัว นอกจากทำให้ชีวิตดีขึ้นแล้ว ยังสามารถยืดอายุและช่วยรักษารูปร่างหน้าตา ไม่ทำให้ถูกสามีรังเกียจในอนาคตได้ด้วย
ขณะกำลังอ่านอย่างจริงจัง หลินอวี้ก็ส่งเสียงร้องแผ่วเบาออกมาก่อนจะตระหนักว่าร่างของตนถูกอุ้มขึ้น
“สามีคิดจะทำอะไรน่ะ?” เมื่อเห็นสายตาประหนึ่งหมาป่าของสวี่หยาง หลินอวี้ก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรง
“กลับเข้าไปในบ้านก่อน”

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ย่างก้าวสู่วิถีเซียน